ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส อินเตอร์มีเดียท (WTI) ซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ ของสหรัฐ ปิดตลาดวานนี้ (15 มิ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น ร่วงลงแตะระดับ 115 ดอลลาร์ หลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบ พุ่งขึ้นสวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ทั้งยังถูกกดดันจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ ประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.75%
ราคาน้ำมันดิบ WTI กำหนดส่งมอบเดือนกรกฎาคม ร่วงลง 3.62 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ 115.31 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) กำหนดส่งมอบเดือนสิงหาคมลดลง 2.66 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 118.51 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
เทรดเดอร์ชี้ว่า ราคาที่ร่วงลง เป็นผลมาจากการที่สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) เปิดเผยปริมาณน้ำมันดิบสำรองของประเทศ เพิ่มขึ้น 2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 10 มิถุนายน สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล
ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับที่สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 736,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังถูกกดดันจากความกังวลที่ว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ยแรงถึง 0.75% อาจจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน
ทั้งนี้ คณะกรรมการเฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.75% สู่ระดับ 1.50-1.75% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งใหญ่สุดในรอบ 28 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2537 พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1.75% ในปีนี้
นอกจากนี้ เฟดยังได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ สู่ระดับ 1.7% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 2.8% ในเดือนมีนาคม และคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 1.7% ในปี 2566
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- พลังงาน ไล่บี้ ‘ลดค่าการกลั่น’ หวังกดราคาน้ำมัน
- ‘พลังงาน’ ยืนยัน ‘ราคา น้ำมันไทย’ ยังค่อนข้างต่ำ เทียบเพื่อนบ้าน วอนประชาชน เข้าใจสถานการณ์
- เปิดเหตุผล ‘ราคาน้ำมัน’ ยังแพงอีกนาน