Stock

เช็กราคาเป้าหมายตลาดหุ้นไทย ‘SET Index’ ปี 2566

ทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 2566 มีหลายประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามต่อเนื่องอย่างใกล้ชิด ทั้งปัจจัยภายนอก เช่น ความตรึงเครียดในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย และมาตรการ Zero-Covid ของรัฐบาลจีน

ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยเฉพาะตัวของไทย เช่น เป็นปีที่ไทยจะเริ่มเก็บภาษีขายหุ้น การเลือกตั้งใหญ่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น รวมถึงการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลาย 

เพื่อเป็นการต้อนรับตลาดหุ้นไทยในปีกระต่าย บทความนี้จึงได้สำรวจเป้าหมายดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ในปี 2566 ผ่านมุมมองของนักวิเคราะห์การลงทุนชั้นนำ

ตลาดหุ้นไทย

เริ่มกันที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด (บลจ. วรรณ) มีมุมมองเชิงบวกมากที่สุด โดยให้เป้าหมาย SET Index ปี 2566 ที่ 1,780 จุด พร้อมมองว่าหุ้นไทยโดดเด่นกว่าหุ้นต่างประเทศ เพราะมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวจากการเลือกตั้งทั่วไป ที่จะมีขึ้นในช่วงไตรมาส 2/66

ในอดีตที่ผ่านมาช่วงเดือนแรกหลังการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นมักจะตอบรับในเชิงบวก อีกทั้งหุ้นไทยมี Story ของการ Reopening เข้ามาส่งเสริมด้วย

ส่วนประเด็นต่างประเทศที่ต้องติดตามใกล้ชิด คือ ภาวะเงินเฟ้อสหรัฐที่คาดว่าจะเริ่มอิ่มตัว และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด  และ นโยบายของจีน ที่คาดว่าจะเริ่มทยอยผ่อนคลายมาตรการ Zero-Covid และอาจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ จะเห็นว่าสถานการณ์ต่างประเทศยังมีความกังวลกดดันอยู่ ทำให้ภาพการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ เหมาะเป็นแค่ Trading มากกว่า 

บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (บล. กสิกรไทย) มีมุมมองบวกอย่างระมัดระวังต่อ SET Index จากเป้าสิ้นปี 2566 ที่ 1,757 จุด แนวโน้มการลงทุนยังขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจรูปแบบ K-shaped เป็นหลัก คาดว่ากลุ่มที่มีรายได้ระดับสูงจะทำได้ดีกว่ากลุ่มรายได้ปานกลาง ตามสภาวะเศรษฐกิจที่มีการอัดฉีดเงินทั่วโลก ทำให้กำลังซื้อของผู้มีรายได้สูง จะแข็งแกร่งกว่าในแง่ของความสามารถรรับมือกับภาวะเงินเฟ้อระดับสูง

สำหรับปัจจัยเสี่ยงหลัก คือ สภาวะเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงด้านนโยบาย หากอัตราเงินเฟ้อยังตึงตัว และยืนสูงในปี 2566 รวมท้้งวัฎจักร NPLs อาจเลวร้ายลงอีก หลังการปรับโครงสร้างหนี้สินเชิงรุกในช่วงโควิด-19 โดยสินเชื่อที่มีอัตราผลตอบแทนสูงปัจจุบันยังคงมีปัญหา NPLs ที่ยังเพิ่มสูงขึ้น

ตลาดหุ้นไทย

หุ้นเด่นของ บล. กสิกรไทย ในปี 2566 แบ่งเป็น

1. กลุ่มป้องกันความเสี่ยงจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ ได้แก่ BCP และ PRM

2. กลุ่มป้องกันความเสี่ยงจากวัฎจักร NPLs ในประเทศ ได้แก่ BAM

3. กลุ่มได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ได้แก่ KTB

4. กลุ่มได้ประโยชน์จากสภาวะเศรษฐกิจแบบ K-shaped ได้แก่ SC  และ AAI

5. กลุ่มได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ ได้แก่ CPN, CRC, BDMS, MINT และ ADVANC

บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (บล. ทิสโก้) ได้ปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นของตลาด (SET EPS) ปี 2566 เป็น  99.5 บาท จากเดิม 103.8 บาท ส่งผลให้เป้าหมาย SET Index เหมาะสมสิ้นปี 2566 ลดลงเป็น 1590 จุด เพื่อสะท้อนความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกถดถอย และรัฐเตรียมเก็บภาษีการขายหุ้น พร้อมเชื่อว่าตลาดจะให้น้ำหนักมากขึ้นกับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวด

ทั้งนี้ ราคาหุ้นจะตอบสนองล่วงหน้าด้วยการปรับตัวลงก่อนประมาณ 6 เดือน ดังนั้น นักลงทุนควรระมัดระวังการลงทุนมากเป็นพิเศษตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลัง 2566 เป็นต้นไป 

อย่างไรก็ดี บล.ทิสโก้ มอง SET Index ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 เป็นเชิงบวกจากโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่อง และโอกาสเกิดการเลือกตั้ง ตลอดจนคาดหวังว่าจีนจะทยอยเปิดประเทศ เพราะฉะนั้นมองว่า SET Index มีโอกาสที่จะขึ้นทะลุ 1700 จุดในช่วงครึ่งปีแรก จากนั้นจึงจะปรับตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo
แชร์วิธีคิด แบ่งปันความรู้ การเงิน การลงทุน