CEO INSIGHT

‘บัณฑิต’ ดัน ‘ไทยออยล์’ รุกเติบโตต่างประเทศ ยึดกลยุทธ์ ‘3V’ ทำธุรกิจในอนาคต

“บัณฑิต” เดินหน้าปรับ “ไทยออยล์” สู่ “ธุรกิจที่มีคุณค่าสูง” วางแผนเติบโตในต่างประเทศมากขึ้น หลังรุกเข้าลงทุนใน อินโดนีเซีย เวียดนาม และอินเดีย เดินตามกลยุทธ์ 3V  สำหรับการทำธุรกิจในอนาคต

นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP กล่าวในโอกาสเดินทางไปดูงานด้านพลังงานแห่งอนาคต ที่โปรตุเกส และสเปน เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า ปัจจุบัน ไทยออยล์ทำธุรกิจในหลายด้าน อาทิ ธุรกิจการกลั่นน้ำมัน ปิโตรเคมี น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน สารทำละลาย และเคมีภัณฑ์

ไทยออยล์

โดยมีธุรกิจที่เป็นมูลค่าสูงอันหนึ่ง คือ เคมีคอล อย่างเช่น สาร LAB (Linear Alkyl Benzene) เป็นสารตั้งต้นหลักในธุรกิจผงซักฟอก และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ที่สมัยก่อนต้องนำเข้า 100% แต่ปัจจุบันบริษัทผลิต และขายให้ผู้ผลิตแทบทุกยี่ห้อในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็น คาโอ ไลอ้อน และยูนิลิเวอร์ และมีการส่งออกด้วย ทั้งยังมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นมูลค่าสูงเช่น น้ำมันยาง ที่นำไปใช้ในยางรถยนต์ ซึ่งถือว่ามีอนาคตที่ดี เพราะถึงแม้จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าก็ยังมียางรถยนต์อยู่

“เราขายไปยุโรป ทางยุโรปต้องการมีมลพิษต่ำ ซึ่งลดการเกิดสารมะเร็ง เราช่วยสิ่งแวดล้อมด้วย มีมาร์จิ้นที่ดี อันที่จริงเราทำมานานแล้ว แต่ว่าตอนนี้มีผู้เล่นรายใหม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นสิ่งที่เราได้ทำ”

“เราได้ขยายไปสู่ธุรกิจโอเลฟินในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา โดยการไปลงทุนที่ประเทศอินโดนีเซีย เข้าถือหุ้น 15% ใน PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ครบวงจรชั้นนำรายใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นการทำงานไปสู่ธุรกิจที่เป็นขั้นปลายมากขึ้น และก็ไม่ได้ซ้ำซ้อนกับบริษัทในกลุ่ม เพราะว่าทางกลุ่ม ปตท. ไม่ได้มีธุรกิจปิโตรเคมีในอินโดนีเซีย”

ไทยออยล์

นายบัณฑิต บอกด้วยว่า ไทยออยล์ กำลังให้ความสนใจกับธุรกิจที่มีคาร์บอนต่ำ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในเรื่องของ Energy Transition ที่คนกำลังหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เป็นรูปแบบพลังงานใหม่ ที่เปลี่ยนแปลงไปจากพลังงานเชื้อเพลิง ก็จะเป็นพวกน้ำมันเบนซิน และน้ำมันแก๊สโซฮออล์ เป็นหลัก เพราะฉะนั้นบริษัทจึงเล็งเห็นว่า จะต้องปรับตัวเองไปสู่ธุรกิจที่มีคุณค่าสูง ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความท้าทายอีกประการหนึ่ง

ในการวางแผนกลยุทธของไทยออยล์นั้น บริษัทต้องวางแผนกับในกลุ่ม ปตท. ด้วย เพื่อให้การทำงานเดินหน้า ไม่ทำธุรกิจทับซ้อนกัน โดยไทยออยล์ มีแผนที่จะเติบโตไปต่างประเทศมากขึ้น เพราะหลังจากโครงการพลังงานเสร็จ ทำให้มีกำลังกลั่นน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน ก็จะทำให้มีปริมาณผลิตภัณฑ์มากขึ้น และเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำไปใช้ต่างประเทศเยอะขึ้น

ไทยออยล์
บัณฑิต ธรรมประจำจิต

รุกเติบโตในตลาดต่างประเทศ 

เพราะฉะนั้น บริษัทก็มีประเทศที่จะเป็นเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม ก็เป็นประเทศที่มีอนาคตที่ดีเหมือนกัน ประชากรเยอะ และอัตราการเติบโตยังมีอยู่ และปัจจุบันไทยออยล์ มีธุรกิจสารทำละลายและเคมีภัณฑ์ อยู่ในเวียดนาม และเป็นเบอร์ 1 ในด้านนี้ของเวียดนามด้วย

ขณะที่ในอินโดนีเซียนั้น บริษัทเข้าไปลงทุนในด้านปิโตรเคมี และมีบริษัทลูกที่เรียกว่าท๊อป เน็กซ์ ซึ่งจะทำเรื่องการตลาด และการจัดจำหน่ายสินค้าของไทยออยล์ และสินค้าของบริษัทอื่น เพื่อขายในต่างประเทศด้วย

วันนี้ไทยออยล์ ยังบุกตลาดอินเดียด้วย โดยในตลาดนี้ ใช้สาร LAB เป็นสินค้าหลัก ซึ่งช่วงการระบาดของไวรัสโควิดที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงพีคของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เพราะทุกคนจะมีความใส่ใจในเรื่องของความสะอาด ทำให้สินค้านี้ก็เป็นสินค้าที่มีมูลค่าดีด้วย

ไทยออยล์

นอกจากนี้ ธุรกิจของไทยออยล์ ยังมีเรื่องของการผลิตไฟฟ้า ที่บริษัทเติบโตไปพร้อมกับบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ “GPSC” ที่เป็นเรือธงด้านไฟฟ้าในกลุ่ม ปตท. ส่วนธุรกิจอย่างเอทานอล ที่ใช้กากน้ำตาล (โมลาส) หรือหลักๆ ใช้พวกมันสำปะหลัง ไม่ว่าจะเป็นมันสด หรือมันเส้น ในการผลิตนั้น บริษัทมองว่า จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการผลิตพลังงานทดแทนในอนาคต เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

โดยหลักๆ แล้ว ไทยออยล์ ยังมีกำไรจากธุรกิจปิโตรเลียมเป็นหลัก โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กำไรมากกว่า 60% มาจากธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน และธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน อีกประมาณ 15% มาจากธุรกิจปิโตรเคมี ที่เหลือมาจากไฟฟ้า

ไทยออยล์

เดินตามกลยุทธ์ 3V ทำธุรกิจในอนาคต

ในอนาคต บริษัทมีเป้าหมายที่จะเดินหน้าไปสู่ธุรกิจใหม่ ธุรกิจที่มีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งจะสามารถตอบโจทย์ได้ในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป มีการออนไลน์มากขึ้น จำนวนประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น ไลฟ์สไตล์ของผู้คน ที่ให้ความสนใจกับเรื่องการเป็นอยู่ที่ดี และเรื่องสุขอนามัยมากขึ้น

ทั้งนี้ ไทยออยล์ จะเดินตามกลยุทธ์ 3 วี (3V) ที่วางไว้ สำหรับการทำธุรกิจในอนาคต ประกอบไปด้วย

Value Maximization: Integrated Crude to Chemicals เป็นเรื่องของการเพิ่มมูลค่าของธุรกิจปัจจุบัน จากธุรกิจปิโตรเลียม ธุรกิจปิโตรเคมีขั้นต้น ปิโตรเคมีขั้นปลาย ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง

Value Enhancement: Integrated Value Chain Management เป็นเรื่องของการขยายตลาด สร้างความแข็งแกร่งนอกเหนือจากประเทศไทย รุกออกไปยังตลาดในภูมิภาค อย่างประเทศที่กล่าวไว้ ทั้ง อินโดนีเซีย เวียดนาม และอินเดีย

Value Diversification เป็นเรื่องของตอบโจทย์ธุรกิจพลังงานใหม่ เรื่องของการเปลี่ยนถ่ายพลังงาน แสวงหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะธุรกิจที่มีมูลค่าสูง (High Value Business) และธุรกิจ New S-Curve อื่นๆ ให้สอดคล้องต่อแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก

ใช้ 3 C มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

บริษัทยังตั้งเป้า ที่จะมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ภายในปี 2050 ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน และมีกลยุทธ์เรียกว่า 3 ซี (3C) 

ไทยออยล์

Cut Down Existing Emission ลดการปล่อยมลพิษ ด้วยการนำเทคโนโลยี เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง และร่วมมือกับกลุ่ม ปตท. ในการใช้เทคโนโลยีเพื่อกักเก็บคาร์บอน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่น

Compensate Residual Emission ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยการปลูกป่า เพราะแม้จะจะช่วยลดการปล่อยมลพิษแล้ว แต่เทคโนโลยีปัจจุบันก็ยังจับคาร์บอนที่ปล่อยออกมาไม่หมด จะได้อย่างมากก็ 90%  สุดท้ายต้องใช้วิธีการอื่น เช่น การปลูกป่า เข้ามาช่วย

Control Future Emission การควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มเติมจากการลงทุนในอนาคต ผ่านการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจมูลค่าสูง และธุรกิจใหม่ที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ และธุรกิจที่ปล่อยคาร์บอนต่ำลง

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo