อโกด้า เปิดผลสำรวจความคิดเห็นนักท่องเที่ยวทั่วโลก ผ่านรายงาน เทรนด์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 2564 ชี้ภาครัฐต้องรับผิดชอบหลัก สร้างการเปลี่ยนแปลง
จอห์น บราวน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อโกด้า เปิดเผยว่า จากผลสำรวจในหัวข้อ เทรนด์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 2564 ซึ่งจัดทำโดยอโกด้า รายงานเทรนด์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ซึ่งจัดทำขึ้น เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก หรือ World Environment Day ซึ่งตรงกับวันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี พบ 5 เทรนด์สำคัญ ที่นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญมากที่สุดตามลำดับ ดังนี้
1. ระบุตัวเลือกการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ง่าย
2. จำกัดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
3. เสนอสิ่งจูงใจทางการเงิน แก่ผู้ให้บริการที่พักที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
4. สร้างพื้นที่คุ้มครองให้มากขึ้นเพื่อจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว
5. เลิกใช้ผลิตภัณฑ์อำนวยความสะดวกในห้องพัก และห้องน้ำแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากการท่องเที่ยวต่อสิ่งแวดล้อม ที่นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญมากที่สุดสามอันดับแรก ได้แก่
- การท่องเที่ยวมากเกินที่แหล่งท่องเที่ยวจะรับได้
- มลพิษและสิ่งปฏิกูลตามชายหาดและแหล่งน้ำ
- การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการท่องเที่ยว และการใช้พลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการใช้น้ำ และไฟเกินความจำเป็น
ภาครัฐควรเป็นผู้รับผิดชอบหลักสร้างการเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวผู้ตอบแบบสำรวจ ลงความเห็นตรงกันทั่วโลกว่า เป็นหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐ ในการจะสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ต่อมาคือหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และตัวนักท่องเที่ยวเอง
เมื่อถามนักท่องเที่ยวว่า หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดีขึ้น นักท่องเที่ยวจะท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนขึ้นอย่างไร คำตอบของนักท่องเที่ยว โดยเรียงตามลำดับตามความนิยม มีดังนี้
1. จะจัดการขยะของตนเอง รวมถึงจะหลีกเลี่ยงการใช้ถพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
2. จะปิดแอร์ และไฟเมื่อออกจากห้องพัก
3. จะเลือกใช้บริการที่พักที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า แม้การท่องเที่ยวมากเกินที่แหล่งท่องเที่ยวจะรับได้ จะเป็นเรื่องที่นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญ แต่การไปท่องเที่ยวสถานที่ที่ยังไม่ค่อยได้รับความนิยม กลับอยู่ในอันดับที่ 7 จาก 10 ในสิ่งที่นักท่องเที่ยวจะทำ
อโกด้า ชี้ไม่มีความหมายตายตัวในด้านความยั่งยืน
แนวทางปฏิบัติที่นักท่องเที่ยวมองว่า สัมพันธ์กับการเดินทางอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือยั่งยืนมากที่สุด คือ พลังงาน และทรัพยากรหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม ไฟฟ้าพลังน้ำ และน้ำ รวมทั้งการไม่ใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง และการอนุรักษ์สัตว์ และการสร้างคาร์บอนฟุตพริ้นท์ให้น้อยลง
นอกจากยี้ ยังมีวิธีอื่น ๆ ในการประหยัดพลังงาน เช่น การใช้คีย์การ์ด หรือเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากธรรมชาติ ก็เป็นแนวทางปฏิบัติที่สำคัญ แต่น่าสังเกตว่าการซื้อผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น การใช้ผ้าปูที่นอน หรือผ้าเช็ดตัวซ้ำระหว่างท่องเที่ยว และการไปท่องเที่ยวสถานที่ที่ยังไม่ค่อยได้รับความนิยม เป็นแนวทางปฏิบัติที่อยู่ใน 3 อันดับสุดท้าย จาก 10 แนวทางปฏิบัติยอดนิยมที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางอย่างยั่งยืนมากที่สุด
จากกผลการสำรวจเทรนด์การเดินทางอย่างยั่งยืน พบว่า ผู้คนทั่วโลกให้ความสำคัญ กับการทำตามวิธีดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมง่าย ๆ อย่างการปิดไฟ และเครื่องปรับอากาศเมื่อออกจากห้องพัก และการลดปริมาณขยะโดยการลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
อีกสิ่งหนึ่งเราเห็นได้อย่างชัดเจนคือ ทั่วโลกมองว่ารัฐบาล ต้องเป็นผู้นำในการบริหารจัดการการเดินทางท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน แต่ในขณะเดียวกัน หลายคนก็ตระหนักว่าความรับผิดชอบบางอย่าง ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของตนเองเช่นกัน
ในปีที่ผ่านมา อโก้ายังได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการเดินทางของผู้คน ที่นิยมไปท่องเที่ยวที่ที่ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากถูกจำกัดให้เดินทางได้แค่ภายในประเทศ ซึ่งหากได้รับการบริหารจัดการที่ดี จะเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการโรงแรมอิสระ และผู้ให้บริการที่พักที่ต้องพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยว อีกทั้งเป็นการลดภาระด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้อีกด้วย
โควิดส่งผลกระทบเชิงลบต่อทัศนคติต่อการเดินทางอย่างยั่งยืน
ความปรารถนาที่จะการเดินทางอย่างยั่งยืนที่เพิ่มมากขึ้น แพร่หลายมากที่สุดในกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามจากเกาหลีใต้ (35%) อินเดีย (31%) และไต้หวัน (31%) อย่างไรก็ตาม เมื่อดูตัวเลขสำหรับทั่วโลก ขณะที่ผู้คน 25% ปรารถนาจะเดินทางอย่างยั่งยืนมากขึ้น ผู้คนอีก 35% กลับมีความปรารถนาเดียวกันลดลง โดยประเทศที่มีสัดส่วนความปรารถนานี้ลดลงมากที่สุด ได้แก่ อินโดนีเซีย (56%) ไทย (51%) และฟิลิปปินส์ (50%)
สำหรับประเทศไทย พบว่า คนไทยส่วนใหญ่ กังวลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวมากเกินที่แหล่งท่องเที่ยวจะรับได้ การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการท่องเที่ยว และการใช้พลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ โดย 30% ของคนไทยเชื่อว่า ตัวเองมีความรับผิดชอบมากที่สุด ในการสร้างการเปลี่ยนแปลง ด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ตามมาด้วยหน่วยงานการท่องเที่ยว 25% และภาครัฐ 24%
ขณะเดียวกัน คนไทยส่วนใหญ่สัญญาว่า เมื่อไปท่องเที่ยวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดีขึ้น พวกเขาจะจัดการขยะของตนเองระหว่างการท่องเที่ยว โดยใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งให้น้อยลง (53%) มองหาที่พักที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ (37%) และปิดเครื่องปรับอากาศ รวมถึงไฟเวลาออกจากห้องพัก (31%)
ขณะที่แนวทางปฏิบัติ ที่คนไทยถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการเดินทางอย่างยั่งยืนมากที่สุด ได้แก่ การที่ที่พักใช้พลังงาน หรือแหล่งน้ำหมุนเวียน (31%) การใช้ผลิตภัณฑ์อำนวยความสะดวกที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (20%) และการใช้คีย์การ์ดจ่ายไฟในห้องพัก (15%)
เมื่อถูกถามว่า มีแนวทางปฏิบัติอะไรที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนบ้าง คนไทย 47% ตอบการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน 41% ตอบการอนุรักษ์สัตว์ และ 35% ตอบการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากธรรมชาติ
มาตรการเพิ่มเติมที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมากขึ้น คือระบุตัวเลือกการท่องเที่ยวที่มีความยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ง่าย เสนอสิ่งจูงใจทางการเงิน แก่ผู้ให้บริการที่พัก ที่เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานถึงขีดสุด และจำกัดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ของสายการบินหรือในที่พัก
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ทางรอด ‘ท่องเที่ยวไทย’ ต้องปรับตัว รับ Next Normal ด้วย 5 แนวทาง ตามนี้!
- ศบศ.ไฟเขียวภูเก็ต รับนักท่องเที่ยว ไม่ต้องกักตัว ต้องพัก 14 วัน ก่อนไปพื้นที่อื่น
- จับตา!! วันนี้ ‘บิ๊กตู่’ จ่อพิจารณาแผนเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ