พรรคกิจประชาชน (พีเอพี) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของสิงคโปร์ คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปได้อย่างคาดลอย ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ แต่มีที่นั่งในสภาลดลง ท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชนที่เพิ่มมากขึ้น กับการที่เศรษฐกิจสิงคโปร์เผชิญภาวะถดถอยครั้งเลวร้ายที่สุด จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
พีเอพี ซึ่งบริหารสิงคโปร์มาตั้งแต่ปี 2508 ได้ส.ส.ไป 83 ที่นั่ง จากทั้งหมด 93 ที่นั่งในรัฐสภา ขณะที่พรรคแรงงาน (Workers’ Party) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านรายใหญ่สุดของสิงคโปร์ได้ 10 ที่นั่ง เพิ่มขึ้น 4 ที่นั่งจากเดิม 6 ที่นั่ง
ส่วนแบ่งคะแนนเสียงของพรรค พีเอพี ลดลงเหลือ 61.24% ในการเลือกตั้งครั้งนี้ จาก 69.9% ในการเลือกตั้งครั้งก่อนเมื่อปี 2558 เนื่องจากชาวสิงคโปร์ผิดหวังกับค่าครองชีพที่ระดับสูง และนโยบายเปิดรับชาวต่างชาติ ซึ่งทำให้ชาวสิงคโปร์ตกงาน
ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ ชี้ว่าพรรคพีเอพีทำคะแนนได้น้อยลงจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2558 ที่คว้าที่นั่งในสภาได้ถึง 93% และได้รับคะแนนเสียงทั้งหมดเกือบ 70%
ส่วนพรรคสิงคโปร์ก้าวหน้า ( พีเอสพี ) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองน้องใหม่ ที่เพิ่งก่อตั้งเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว แม้ไม่ได้รับการเลือกตั้งในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่ได้โควตา 2 ที่นั่ง ในฐานะสมาชิก ซึ่งลงสมัครรับเลือกตั้ง และ “ทำผลงานดีที่สุด” ในการเลือกตั้ง โดยไม่ได้เป็นทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน
สิงคโปร์มีโควตาสมาชิกแบบนี้ตั้งแต่ปี 2527 เพื่อป้องกันการผูกขาดอำนาจในสภาของพรรคพีเอพี
ขณะที่นายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุง แถลงว่า ผลการเลือกตั้งที่ออกมาบ่งชี้ได้เป็นอย่างดีถึง “ความเจ็บปวด” ของชาวสิงคโปร์ ท่ามกลางวิกฤติร้ายแรงที่กำลังเผชิญอยู่ และมีแนวโน้ม “ยังไม่แน่นอนในระยะยาว”
อย่างไรก็ตาม ผู้นำสิงคโปร์ยืนยันว่าผลคะแนนที่ออกมา “ถือเป็นความชอบธรรม” ของพรรคพีเอพี ในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อขับเคลื่อนประเทศให้เดินหน้าต่อไป
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- สิงคโปร์ขยายเวลาปิดหีบเลือกตั้ง ถึง 4 ทุ่ม เหตุมาตรการป้องกันโควิด ทำลงคะแนนไม่ทัน
- เปิดเบื้องหลัง ‘ลี เซียน ลุง’ ยุบสภา เร่งจัด ‘เลือกตั้งสิงคโปร์’ กลาง ‘วิกฤติโควิด-19’
- สิงคโปร์ยุบสภา! กำหนดเลือกตั้ง 10 ก.ค. ปล่อยรัฐบาลใหม่จัดการโควิด-19 ต่อ