CEO INSIGHT

‘เจ้าสัวธนินท์’ เตรียมแผนพลิกฟื้นวิกฤติโควิด ยันซีพีไม่เลิกจ้างแม้แต่คนเดียว

“รู้สึกยินดีและมีความสุขมากที่เครือซีพีสามารถสร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยเพื่อแจกฟรีให้แก่แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ตลอดจนประชาชนได้ภายในเวลา 5 สัปดาห์  ซีพีเห็นความสำคัญว่าสถานการณ์ขณะนี้ ต้องเร่งปกป้องแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศไม่ให้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อให้กลุ่มคนเหล่านี้มีพลังที่จะปกป้องประชาชน” นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี กล่าวภายหลังเปิดสายการผลิตหน้ากากอนามัยเป็นวันแรก รวมทั้งเครือซีพีได้ทำการส่งมอบหน้ากากอนามัยจำนวน 100,000 ชิ้นแรก ให้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ

พร้อมกับย้ำว่า จึงสำคัญมากที่ต้องผลิตหน้ากากอนามัยแจกจ่ายให้กับทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ สภากาชาดไทย จะเป็นองค์กรดูแลแจกจ่ายหน้ากากอนามัยส่งต่อไปยังทุกโรงพยาบาลในประเทศ และส่วนที่เหลือจึงแจกจ่ายให้ประชาชนทั่วไปฟรี โดยกำลังการผลิตปัจจุบันตั้งเป้าคือวันละ 1 แสนชิ้น หรือ 3 ล้านชิ้นต่อเดือน โดยเป็นโรงงานอัตโนมัติใช้ผู้ควบคุมในโรงงานเพียง 3 คน เพื่อให้เป็นโรงงานที่ปลอดเชื้อโรคสูงสุด สามารถผลิตได้ 24 ชั่วโมง

จากนั้นนายธนินท์  กล่าวถึงการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ว่า ในสถานการณ์นี้เครือซีพีประกาศว่า ซีพีในทุกประเทศทั่วโลกจะไม่มีการเลิกจ้างพนักงานออกแม้แต่คนเดียว และต้องดูแลพนักงานของซีพีให้ดีที่สุดไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยมีมาตรการต่าง ๆ ออกมาเพื่อช่วยปกป้องพนักงานไม่ให้เข้าไปเผชิญความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ มีการใช้มาตรการทำงานที่บ้านโดยยังจ่ายเงินเดือนและรายได้เช่นเดิม

ทั้งนี้ ซีพีให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานมาก เพราะการรักษาคนของซีพีก็เท่ากับบริษัทรักษาพลังของบริษัทไว้คู่กัน เพื่อเตรียมพร้อมเดินหน้าหลังวิกฤติโควิด-19 คลี่คลาย เพราะเมื่อถึงเวลานั้นประเทศต้องเดินหน้าต่อได้ทันทีเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ภาคแรงงานและกำลังคนของซีพีก็จะเดินหน้าได้ทันที เป็นการเตรียมพร้อมในเวลานี้ของซีพีหลังวิกฤติจบลง ซึ่งซีพีใช้แนวทางนี้จนประสบความสำเร็จมาแล้วในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดหนักที่เมืองอู่ฮั่นในจีน”

ธนินท์4

พร้อมกันนี้ ยังประเมินว่า วิกฤติเศรษฐกิจที่เป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก ขณะนี้แตกต่างกับวิกฤติเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ผ่านมาไม่เหมือนวิกฤติต้มยำกุ้ง แต่ครั้งนี้เป็นวิกฤติระดับโลกเกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักลง ผู้คนต้องกักตัวในที่อยู่อาศัยเพื่อเลี่ยงการแพร่เชื้อโรค

นายธนินท์  กล่าวว่าสำหรับประเทศไทย วิกฤติครั้งนี้ ส่งผลให้ธุรกิจสำคัญอย่างภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีผลกระทบทั้งระบบ ซึ่งประเทศไทยพึ่งพารายได้ด้านการท่องเที่ยวมหาศาล ดังนั้นในช่วงวิกฤติจากโควิด-19 ที่ยังมีอยู่นี้ จึงเสนอให้เตรียมแผนเชิงรุก ด้านการท่องเที่ยว และส่งออกไว้ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสะสม พลังไว้ และขอให้ภาคเอกชนและธุรกิจต่างๆ เตรียมพร้อมด้านกำลังคน และภาคแรงงานไว้ หากสามารถที่จะช่วยเหลือไม่เลิกจ้างแรงงาน ทำให้ผู้คนยังมีกำลังจับจ่ายภายในประเทศได้จะเป็นเรื่องที่ดี

“วันนี้เมื่อมืดที่สุด ก็จะสว่างไม่มีวันที่จะมืดไปตลอดกาล ดังนั้นเมื่อสว่างแล้วจะต้องเตรียมตัวทำอย่างไร เช่นเดียวกับที่เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้วจะเป็นโอกาสของประเทศไทยอย่างมาก เพราะหลังวิกฤติแล้วมีโอกาสแน่นอน” นายธนินท์ กล่าว

Avatar photo
ทีมบรรณาธิการข่าว The Bangkok Insight