ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส อินเตอร์มีเดียท (WTI) ปิดซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ ของสหรัฐ เมื่อวานนี้ (21 ก.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น ร่วงลงแตะระดับ 82 ดอลลาร์ หลัง “ธนาคารกลางสหรัฐ” ประกาศขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ทำให้นักลงทุนกังวลว่า จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และความต้องการใช้น้ำมัน
ราคาน้ำมันดิบ WTI กำหนดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 1 ดอลลาร์ หรือ 1.2% ปิดที่ 82.94 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) กำหนดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 79 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 89.83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ในช่วงแรกนั้น ราคาพุ่งขึ้นจากรายงานที่ว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียประกาศระดมกำลังพลจำนวน 300,000 นาย เพื่อยกระดับการทำสงครามกับยูเครน
แต่ราคาอ่อนแรงลงในเวลาต่อมา หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ในการประชุมเมื่อวานนี้ และยืนยันว่า จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อไปในปี 2566
นอกจากนี้ เฟดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวเพียง 0.2% ในสิ้นปีนี้ และขยายตัว 1.2% ในปี 2566 โดยถ้อยแถลงของเฟดเป็นปัจจัยฉุดตลาดสินทรัพย์เสี่ยงซึ่งรวมถึงตลาดหุ้น และตลาดน้ำมัน
ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (อีไอเอ) ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน และสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 400,000 บาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 600,000 บาร์เรล
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ไออีเอ’ ชี้ ‘รัสเซีย’ ผลิตน้ำมันมากเกินคาด แต่ ‘มาตรการคว่ำบาตร’ เริ่มกระทบ
- ราคาน้ำมันโลกพุ่ง! คนไทยซื้อแพงขึ้น 44.7% ขณะที่ยอดใช้ 9 เดือนร่วง 5.2%
- ‘ซีอีโอเอ็กซอน’ เตือน เปลี่ยนใช้ ‘พลังงานหมุนเวียน’ กะทันหัน ทำ ‘ราคาน้ำมัน’ พุ่ง