เปิดกำไรหุ้นธนาคาร 9 เดือน 2565 พุ่งทะยานรับรายได้ดอกเบี้ยตามการเติบโตของสินเชื่อ -ขณะกำไรของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิก็สูงขึ้น เป็นไปตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
เป็นธรรมเนียมเมื่อถึงฤดูกาลประกาศงบที่เราจะต้องนำร่องด้วยการสรุปหุ้นธนาคาร ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มแรกที่จะเปิดเผยผลประกอบการมานำเสนอแก่นักลงทุน และก็ยังสามารถเป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดสำคัญว่าภาพรวมของตลาดในไตรมาสนี้จะมีแนวโน้มเป็นอย่างไรบ้าง
ปัจจุบันหุ้นธนาคารที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกอบด้วย 10 บริษัท ได้แก่ BAY, BBL, CIMBT, KBANK, KKP, KTB, SCBB, LHFG, TISCO และ TTB โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ทุกบริษัทมีกำไรสุทธิรวมกัน 159,744 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 13.67% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ ทำได้ 140,535 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญที่หนุนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งมาจากรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ตามการเติบโตของสินเชื่อ ขณะเดียวกันกำไรของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิก็สูงขึ้น ซึ่งเป็นไปตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้การดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์ได้รับอานิสงส์มากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่มีพอร์ตสินเชื่อมหาศาล ในส่วนของด้านจำนวนหนี้เสีย (Gross NPL) ส่วนใหญ่ก็ทยอยปรับลดลง
รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ (SET)
เกือบทุกธนาคารมีกำไรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ยกเว้น “ธนาคารกรุงศรีอยุธยา” เนื่องจากในช่วงปีก่อนบริษัทมีรายการพิเศษจากการขายหุ้นของเงินติดล้อ (TIDLOR) แต่หากดูเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานตามปกติ ก็ยังสามารถเติบโตได้ดี ส่วนอีกธนาคารที่กำไรลดลงนั่นคือ “แอล เอชไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป” หลักๆ เป็นการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงขึ้นจากค่าใช้จ่ายพนักงานและค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขาย
ทั้งนี้ ธนาคารที่สามารถสร้างการเติบโตของกำไรสุทธิได้อย่างโดดเด่นที่สุด 3 อันดับแรก หนึ่งคือ “ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย” อันดับสอง “ธนาคารกรุงไทย” และอันดับสาม ได้แก่ “ธนาคารเกียรตินาคินภัทร” อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นการสรุปงบเบื้องต้นของธุรกิจธนาคารเท่านั้น นักลงทุนอย่าลืมไปเจาะรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติมในงบการเงินด้วย ซึ่งตัวเลขสำคัญของหุ้นกลุ่มธนาคารที่ต้องรู้ ประกอบด้วย NPL Ratio, Coverage Ratio, รายได้จากดอกเบี้ย, Net Interest Margin, รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย และ Cost to Income Ratio เป็นต้น
นอกจากนี้ ต้องจับตามองเศรษฐกิจไทยที่แม้จะมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้น แต่ก็ยังมีความท้าทายในเรื่อง The New K-shaped Economy ที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่ทั่วถึง โดยมีประเด็นสำคัญมาจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ผลกระทบจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ชู ‘5 เหตุผล’ ราคาหุ้น CPALL น่าสนใจเข้าลงทุน
- ทิศทาง ‘หุ้น AOT’ เมื่อผู้โดยสารแน่นสนามบิน
- การเดินเกมที่แตกต่าง ของหุ้นธนาคาร รับ ‘ดอกเบี้ยขาขึ้น’
