เช็คราคาหุ้น PTT ปี 2566 พร้อมมุมมองนักวิเคราะห์ เกี่ยวกับแนวโน้มอนาคตราคาเป้าหมายของหุ้น PTT ในปี 2566
หลังจากที่หุ้นเบอร์หนึ่งในไทยอย่าง PTT หรือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการปี 2565 โดยมีรายได้รวม 3,367,203 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.1% จากปีก่อน ในส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 91,175 ล้านบาท ลดลง 15.9% จากปีก่อน พร้อมกันนี้บริษัทมีมติจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 2 บาท ได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 1.30 บาท เมื่อเดือนตุลาคม 2565 เท่ากับว่าเหลือเงินปันผลที่จะจ่ายอีก 0.70 บาท
โดยกำไรสุทธิจำนวน 91,175 ล้านบาท มาจากผลการดำเนินงานของ ปตท. คิดเป็นสัดส่วน 17% ลดลง เนื่องจากผลการดำเนินงานของธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่มีต้นทุนราคาค่าเนื้อก๊าซฯ ปรับสูงขึ้นมาก และอีก 83% มาจากผลการดำเนินงานของบริษัทในเครือ ประกอบด้วย ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 51% ธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน และบริษัทย่อยอื่นๆ 23% กลุ่มธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก 8% และธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น 1%
หุ้น PTT กับมุมมองนักวิเคราะห์
โอกาสนี้เราจึงได้รวบรวมมุมมองนักวิเคราะห์ เกี่ยวกับแนวโน้มอนาคตของหุ้น PTT ในปี 2566 และราคาเป้าหมาย มาฝากกัน
**รวบรวมข้อมูล ณ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566
เริ่มกันที่ บล.โนมูระ พัฒนสิน ซึ่งเคาะราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 48 บาท เนื่องจากมองว่ากำไรปกติที่ไม่รวมรายการพิเศษนั้นดีกว่าคาด รวมทั้งคาดว่ากำไรปกติในครึ่งแรกของปีนี้จะกลับมาฟื้นตัว เพราะการปรับเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรของธุรกิจก๊าซ ตามต้นทุนที่กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับ บล.ฟิลลิป คาดการณ์ว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2566 ยังคงสดใส เนื่องจากคาดว่าธุรกิจโรงแยกก๊าซจะมีผลงานที่ดีขึ้น จึงคาดว่าในปีนี้ PTT จะมี utilization rate อยู่ที่ราว 80% ปรับตัวดีขึ้นจาก 76.4% ประกอบกับท่อส่งก๊าซเส้นที่ 5 คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีนี้เช่นกัน
บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ให้ความเห็นว่าแนวโน้มธุรกิจก๊าซของ PTT ค่อนข้างผันผวน โดยกำไร ไตรมาส 1/2566 ของกลุ่มธุรกิจนี้อาจลดลงอีกครั้งตามการนำเข้า LNG ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม จะถูกชดเชยด้วยกำไรของบริษัทลูก ได้แก่ GPSC, IRPC, OR, PTTGC และ TOP ที่จะเติบโตดีจากไตรมาสที่ผ่านมา การมีกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย ทำให้แนวโน้มกำไรของ PTT อาจจะไม่โดดเด่นเท่าบริษัทลูก แต่จุดเด่นที่ยังคงอยู่สำหรับ PTT คือ Valuation ที่น่าสนใจจากราคาตลาดที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีและการจ่ายเงินปันผลด้วยอัตราที่สูงกว่า 6% ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่เน้นการรับเงินปันผล
ในฝั่งมุมมองของบริษัทเอง PTT เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2566 มีแนวโน้มชะลอลง ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ส่วนหนึ่งจากการดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นของประเทศเศรษฐกิจหลัก อย่างสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร เพื่อดูแลเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงให้กลับสู่กรอบเป้าหมาย ประกอบกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังไม่คลี่คลาย และอาจนำไปสู่การคว่ำบาตรและมาตรการตอบโต้เพิ่มเติมซ้ำเติมวิกฤตอาหารและพลังงานให้ยืดเยื้อ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของจีน จะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นหลังยกเลิกนโยบายการจัดการ COVID-19
ทั้งนี้ คาดว่าราคาน้ำมันดิบในปี 2566 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 81 – 86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ค่าการกลั่นอ้างอิงสิงคโปร์ คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 8 – 9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทว่าราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีทั้งสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากความต้องการซื้อของผู้บริโภคที่คาดว่าจะยังคงอ่อนแอ
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง โดยภาคการท่องเที่ยวคาดว่าจะฟื้นตัวชัดเจน รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายภาครัฐที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ในระยะข้างหน้า จากการลงทุนเมกะโปรเจกต์ทั้งในโครงการต่อเนื่องและโครงการใหม่
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ปตท.’ เผยผลการดำเนินงาน ปี 65 ‘แข็งแกร่ง’ ในภาวะพลังงานผันผวน
- ปตท. พัฒนาศักยภาพ ‘ขยะ’ สู่ทรัพยากรมีคุณค่า ร่วมขับเคลื่อน BCG Model ประเทศไทย
- ‘ปตท.’ ดึง ‘เทคโนโลยีดิจิทัล’ หนุน ‘เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ เป็น ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ดันไทยโตยั่งยืน