Finance

‘KBank Private Banking’ แนะ 7 กลยุทธ์ลงทุน ชูหุ้น ‘วัฎจักร’ เพิ่มผลตอบแทนพอร์ต

KBank Private Banking ร่วมกับ Lombard Odier แนะ 7 กลยุทธ์ลงทุน คงมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจโลก ที่อัตราการเติบโตกลับเข้าสู่ระดับปกติ ชูหุ้น Cyclical – Infrastructure และ Private Asset หวังเพิ่มผลตอบแทนให้พอร์ตลงทุน

KBank Private Banking ร่วมกับ Lombard Odier พันธมิตรทางธุรกิจ ไพรเวทแบงก์ระดับโลก จากสวิตเซอร์แลนด์ จัดงานสัมมนาออนไลน์ ในหัวข้อ “BACK TO GROWTH AS WE KNOW IT?” วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจโลก ที่เติบโตในอัตราที่ชะลอลง ผลจากนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลาย และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เร่งตัว หลังการทยอยเปิดเมือง

ปัจจุบัน นักลงทุนมีความกังวลจากสภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัว แต่เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้น (Stagflation) จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องเตรียมพร้อม และปรับกลยุทธ์การลงทุน ตามสถานการณ์โลก เพื่อรักษาผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนให้ยั่งยืน โดยมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ และกลยุทธ์การลงทุนระดับโลกของ Lombard Odier

กลยุทธ์ลงทุน

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ตลอดปี 2564 มีหลายเหตุการณ์ และความเคลื่อนไหวสำคัญ ที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของดัชนี MSCI All Country World Index ไม่ว่าจะเป็น

  • ปรากฏการณ์ GameStop

ที่ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 900% ภายในช่วงเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ จากการที่นักลงทุนรายย่อย ผนึกกำลังต่อสู้กับสถานะการลงทุน ของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ จนบรรดาเฮดจ์ฟันด์ยักษ์ใหญ่ ต้องเสียหายกันอย่างหนัก

  • เงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นอาจกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด

ความกดดันจากเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น กดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา จนตลาดเกิดความกังวลว่าเฟด จะต้องเข้มงวดนโยบายเร็วกว่าที่คาด กดดันแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ก่อนที่ประเด็นดังกล่าวจะผ่อนคลายลงหลังตลาดรับรู่ว่าเงินเฟ้อที่เร่งขึ้นเป็นเพียงชั่วคราว และจะค่อยๆ หายไปต่อจากนี้

  • Archegos Capital กับการกู้ลงทุนจนเกินตัว

เฮดจ์ฟันด์ดังกล่าว กู้ยืมเงินเพื่อใช้เก็งกำไรในระดับที่สูงผิดปกติ และเมื่อขาดทุน ก็ถูกบังคับขายหุ้นล็อตใหญ่ออกมา ส่งผลให้หลาย ๆ ธนาคารที่ทำธุรกรรมให้ Archegos Capital เจ็บตัวกันหนัก

กลยุทธ์ลงทุน
จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์
  • การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด กลายพันธุ์ สายพันธ์เดลตา

ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สะท้อนในตัวเลขเศรษฐกิจ เช่น การใช้จ่ายภาคเอกชนที่หดตัวลง และภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงอ่อนแอเช่นเดิม

  • มาตรการควบคุมบริษัทเอกชนของรัฐบาลจีน

โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น การเงิน e-commerce การศึกษา เกมออนไลน์ ที่ทางการจีนต้องการที่ลดการผูกขาดของบริษัทรายใหญ่ เพิ่มการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ลดความไม่เท่าเทียม เพิ่มความเข้มงวดต่อความปลอดภัยของข้อมูลผู้บริโภค และเพิ่มการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม (Common Prosperity)

  • ผลการประชุม FED ที่ออกมาเป็นกลาง

ส่งสัญญาณลดการซื้อสินทรัพย์ว่า อาจจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ จนถึงกลางปีหน้า และ การคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0-0.25% เช่นเดิม แต่การขึ้นดอกเบี้ยมีโอกาสเร็วขึ้น มาเป็นในปี 2565 ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) อายุ 10 ปีปรับขึ้นมาอยู่เหนือระดับ 1.4% อีกครั้ง

อย่างไรก็ดี เฟด ยังมีโอกาสที่จะเลื่อนการลดการซื้อสินทรัพย์ออกไปได้ หากการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตา ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ

  • ความกังวลเรื่องผิดนัดชำระหนี้ของ ไชน่า เอเวอร์แกรนด์

ตลาดตื่นตระหนกว่า จะส่งผลกระทบแบบลูกโซ่ในวงกว้าง จนเกิดแรงเทขายในทั้งตลาดตราสารหนี้ และหุ้นจีน

ปัจจุบันกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มทยอยกลับมาสู่ภาวะปกติ หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาด ของสายพันธุ์เดลตาเริ่มคลี่คลายในบางภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสหรัฐ และยุโรป ส่งผลให้เกิดการฟื้นตัว และการเติบโตของเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว แต่เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้น (Stagflation) แต่ KBank Private Banking และ Lombard Odier ยังคงมุมมองบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกในอีกหลายไตรมาส และหลายปีต่อจากนี้

กลยุทธ์ลงทุน
ศิริพร สุวรรณการ

ทางด้านนางสาวศิริพร สุวรรณการ Managing Director-Private Banking Financial Advisory Head ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า วัฏจักรของเศรษฐกิจโลกไม่ได้อยู่ในภาวะอันตราย เชื่อว่าเศรษฐกิจโลก กำลังเข้าสู่วัฏจักรที่เติบโตในอัตราปกติ หลังจากที่ฟื้นตัวจากวิกฤติมาแล้ว

โดยมี 7 เหตุผลหลักสนับสนุน คือ

  • เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับเข้าสู่แนวโน้มก่อนโควิด

อัตราการเติบโตกลับสู่ระดับปกติ วัฎจักรกลับสู่สภาวะที่มั่นคงขึ้น เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่เฟสใหม่ของการฟื้นตัว ที่จะเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะการฟื้นตัวอย่างเร็ว และแรง ย่อมตามด้วยการเติบโตในอัตราที่ชะลอ เพื่อเข้าสู่ภาวะปกติ

  • จุดสูงสุดของโควิดสายพันธุ์เดลตาได้ผ่านพ้นไปแล้ว

สายพันธุ์เดลตากระทบจีน และกลุ่มประเทศเกิดใหม่มากกว่า ส่วนในสหรัฐ ที่มีการฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ และผู้ป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาลลดลง ก็ได้รับผลกระทบในตลาดแรงงาน โดยเฉพาะการจ้างงานในกลุ่มท่องเที่ยว และการโรงแรม ที่ก่อนหน้านี้ที่อัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 500,000 ตำแหน่งต่อเดือน แต่ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเหลือศูนย์ตำแหน่ง

อย่างไรก็ดี เชื่อว่าโลกกำลังเดินหน้าไปยังเป้าหมายที่ถูกต้อง ด้วยการเร่งฉีดวัคซีนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ต่อจากนี้

  • พื้นฐานภาคธุรกิจแข็งแกร่ง กำไรสูงกว่าคาด

บริษัทมีความสามารถในการลงทุน จ้างงาน ในขณะที่มีความต้องการใช้จ่ายรออยู่ กำไรของบริษัทในสหรัฐ อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ เช่นเดียวกับในยุโรป และบางประเทศในเอเชีย

แน่นอนว่าการที่บริษัทมีกำไรสูง จะช่วยสนับสนุนตลาดแรงงานให้แข็งแกร่ง ค่าจ้างก็มีแนวโน้มที่ปรับสูงขึ้น นำไปสู่การบริโภคที่เพิ่มขึ้น และการที่บริษัทมีกำไรสูง ก็อาจจะนำไปสู่การลงทุนที่มากขึ้นด้วย

นอกจากนี้ ภาคการบริโภคยังได้รับอานิสงส์จากอุปสงค์ที่อั้นไว้ (Pent-up demand) โดยการจับจ่ายใช้สอยสินค้าในสหรัฐ อยู่ในระดับสูงกว่าก่อนโควิด-19 และต่อจากนี้จะเปลี่ยนแรงขับเคลื่อนเป็นการใช้จ่ายด้านบริการแทน

กลยุทธ์ลงทุน

  • นโยบายการคลังขนานใหญ่ ยังสนับสนุนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสหรัฐ อาจจะใช้เวลานานกว่าจะได้รับการอนุมัติจากสภาเสร็จสิ้น แต่ด้วยมูลค่าแผนการลงทุนหลายล้านล้านดอลลาร์ จะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ จะเห็นการกระตุ้นจากภาครัฐในลักษณะเดียวกันนี้ ในญี่ปุ่น ภายใต้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ และยุโรป ภายใต้รัฐบาลเยอรมนีชุดใหม่หลังการเลือกตั้งในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยคาดว่า จะเห็นการลงทุนของรัฐบาลทั่วโลกอย่างต่อเนื่องในอีกหลายไตรมาสต่อจากนี้

  • ความกังวลในเรื่องเงินเฟ้อผ่อนคลายลง

สาเหตุที่เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา มาจากปัจจัยชั่วคราว และเป็นผลมาจากฐานต่ำในช่วงวิกฤติปีที่แล้ว ซึ่งปัจจัยชั่วคราวเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไป

นอกจากนี้ เงินเฟ้อก็ไม่เกิดขึ้นในตลาดสินเชื่อ เนื่องจากยอดปล่อยสินเชื่อจากธนาคาร รวมถึงการกู้ยืมเงินจากภาคครัวเรือน และบริษัทเอกชนไม่ได้เร่งตัวขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อที่มีเสถียรภาพระยะยาว หนุนจากตลาดแรงงาน ค่าจ้าง และค่าเช่าที่สูงขึ้นจะค่อย ๆ ปรับสูงขึ้นอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ตามวัฎจักรเศรษฐกิจในอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้ จึงจะไม่กดดันธนาคารกลางให้รีบขึ้นดอกเบี้ย

  • การปรับลดการสนับสนุน จากนโยบายการเงินจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป และมีความยืดหยุ่น

หากตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรงลง หรือไม่เป็นไปตามคาด ธนาคารกลางยังมีความยืดหยุ่นในการชะลอแผนการลดการซื้อสินทรัพย์ได้ โดย Lombard Odier คาดว่า เฟดจะเริ่มลดการซื้อสินทรัพย์ในปี 2565 และเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในปี 2566 โดยจะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป นโยบายการเงิน จะยังไม่เข้มงวดอย่างรวดเร็ว และจะหนุนเศรษฐกิจต่อไปได้

  • จีนมีศักยภาพด้านการเงิน และการคลังเพียงพอ ที่จะใช้เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะตกต่ำอย่างรุนแรง

แม้ว่าในช่วงหลังจะมีประเด็นผิดนัดชำระหนี้ของ Evergrande และการออกมาตรการควบคุมบริษัทเอกชน ของทางการจีนที่กดดันตลาด แต่ Lombard Odier ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจจีน จะไม่หดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ (Hard landing) เนื่องจากทางการจีน ยังมีเครื่องมืออีกมากที่ช่วยหนุนเศรษฐกิจได้ ทั้งนโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง เพื่อที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจจีนชะลอลงแบบ “Soft landing” แทน

กลยุทธ์ลงทุน
ดร.ตรีพล ภูมิวสนะ

ขณะที่ ดร.ตรีพล ภูมิวสนะ Managing Director-Private Banking Business Head ธนาคารกสิกรไทย มีมุมมองต่อเศรษฐกิจโลกว่า กำลังเติบโตช้าลง เพื่อเข้าสู่การขยายตัวในระดับปกติ หลังจากฟื้นตัวอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้

ธนาคารแนะนำ 7 กลยุทธ์ลงทุน ได้แก่

  • คงมุมมองบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง

โดยเฉพาะหุ้นที่มีราคาถูก (Value) และหุ้นกลุ่มวัฏจักร (Cyclical) ย้อนกลับไปในสัมมนาออนไลน์ครั้งก่อน ทาง Lombard Odier แนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มวัฏจักร และมีราคาถูก ตั้งแต่ช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวแรก ๆ ซึ่งถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ถูกต้อง ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงดี และแนวโน้มบอนด์ยีลด์ขาขึ้น จะช่วยหนุนหุ้น Cyclical และ หุ้น Value ให้ไปได้ต่อ ซึ่งหนึ่งในภูมิภาคที่จะได้ประโยชน์จากหุ้นกลุ่มนี้ คือ ยุโรป

  • หุ้นยุโรปจะให้ผลตอบแทนที่ดี และยั่งยืน

ย้อนกลับไปในช่วงวิกฤติโควิด-19 ปีที่แล้ว หุ้นยุโรปฟื้นตัวล่าช้ากว่าภูมิภาคอื่น ๆ โดยยังเชื่อว่าหุ้นยุโรปจะยังปรับตัวขึ้นได้ต่อจากนี้ จาก Sentiment หลังการเลือกตั้งในเยอรมนี ซึ่งจะสนับสนุนหุ้นยุโรปและค่าเงินยูโร แต่อาจมีการออกพันธบัตรเยอรมันเพิ่มซึ่งจะกดดันราคา ซึ่ง รัฐบาลผสมที่มีพรรค Greens อยู่จะช่วยผลักดันการลงทุนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ แผนการปฏิรูปสีเขียวของยุโรป (European Green Deal) ที่จะสร้างโอกาสการลงทุนมากมาย

  • ยังคงระมัดระวังในพันธบัตรรัฐบาล

Lombard Odier คาดว่า เฟด จะเริ่มลดสินทรัพย์ 15,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ในเดือนธันวาคมนี้ จนถึงมิถุนายน 2565 จึงมองว่าบอนด์ยีลด์สหรัฐ จะปรับขึ้นสู่ระดับ 2.25% ในเดือนมิถุนายน 2565 จากระดับอ้างอิงตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่ 1.69% และระดับปัจจุบันที่ 1.5%

กลยุทธ์ลงทุน

  • การลงทุนในจีนจะให้ผลตอบแทนที่โดดเด่น

จากประเด็นเรื่องเอเวอร์แกรนด์ หากเผชิญสถานการณ์ที่เลวร้ายสุด ที่หนี้ที่ไม่มีหลักประกันสูญเสียเงินต้นทั้งหมดก็ตาม โดย Lombard Odier ประเมินว่าท ภาคธนาคารจีนมีความแข็งแกร่งพอ ที่จะทนทานต่อการผิดนัดชำระหนี้ของเอเวอร์แกรนด์ได้

กรณีฐาน เรามองว่ารัฐบาลจีน มีเครื่องมือเพียงพอที่จะช่วยพยุงบริษัท เพื่อไม่ให้ส่งกระทบในวงกว้าง และเอเวอร์แกรนด์ จะไม่ซ้ำรอยวิกฤติเเลห์แมน บราเธอร์ส โดยตราสารหนี้จีน ทั้งพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้เอกชนบริษัท ที่มีความแข็งแกร่งเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่น่าสนใจ เทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว

ตราสารหนี้จีน ให้ผลตอบแทนมากกว่าตราสารหนี้สหรัฐ ที่มีอายุเท่ากันถึง 1.5% ถือว่าสูงมากในภาวะดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงค่าเงินหยวน มีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์อีกด้วย

กลยุทธ์ลงทุน

  • มองสินทรัพย์นอกตลาดในการเพิ่มเติมผลตอบแทนให้สูงขึ้น

แม้ว่าจะต้องแลกกับสภาพคล่องที่ต่ำ แต่ความท้าทายของสินทรัพย์ในตลาด จะให้ผลตอบแทนน้อยกว่าเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว สำหรับนักลงทุนที่สามารถลงทุนได้หลายปี โดยเฉลี่ยระยะยาว หุ้นนอกตลาดสามารถให้ผลตอบแทน มากกว่าหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ถึง 2.7%

  •  การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานได้ประโยชน์จากเงินทุนที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง และนโยบายภาครัฐ

การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2553 นอกจากนั้น เม็ดเงินลงทุนเร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หนุนจากแผนการลงทุนของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์

ด้านราคาของโครงสร้างพื้นฐานยังขึ้นมาน้อยกว่าตลาดหุ้น ทำให้คาดว่า จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นได้ในระยะข้างหน้า

  • การลงทุนในบริษัท ที่ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะเป็นผลดีในระยะยาว

จากรายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาล ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ฉบับล่าสุด เลขาธิการสหประชาชาติ ย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถือเป็นปัญหาสำคัญสำหรับมนุษยชาติ และการประชุม COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ปลายปีนี้ จะมีการหารือประเด็นนี้เพิ่มเติม

เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า บริษัทที่สามารถปรับตัวกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ จะให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต เพราะ ความเสี่ยงของการไม่ปรับตัว นอกจากจะทำให้โลกร้อนขึ้นแล้ว ยังมีความเสี่ยงจากการถูกฟ้องร้องด้วย

กลยุทธ์ลงทุน

นายจิรวัฒน์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย กล่าวสรุปในตอนท้ายด้วยว่า ท่ามกลางสภาวะตลาดปัจจุบันที่แม้แนวโน้มเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวหลังการเปิดเมือง ธนาคารยังคงเชื่อมั่นว่าการลงทุนระยะยาว ผ่านการกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนในระยะสั้น

อีกทั้งยังคงปรับกลยุทธ์และคำแนะนำการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พอร์ตการลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ โดยเน้นการลงทุนหุ้นในธีม Policy Driven for Better World ที่จะได้รับอานิสงส์จากแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และเทรนด์ธุรกิจรักษ์โลก รวมถึงธีม Laggard and Cyclical Upturns ที่เน้นการลงทุนในอุตสาหกรรม หรือบริษัท ที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดเมือง และภูมิภาคที่ราคาหุ้น ยังไม่ปรับขึ้นมากเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น เช่น ญี่ปุ่น

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo