Finance

‘KBank Private Banking’ มอง เศรษฐกิจโลก ปี 64 โตต่อเนื่อง หนุนลงทุน ‘หุ้นฟื้นตัวไม่เต็มที่’

“KBank Private Banking-Lombard Odier” มองเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวดี หลังเปิดเมือง หนุนหุ้นไปต่อ แนะเน้นลงทุนในธีม Laggard and Cyclical Upturns ที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่

KBank Private Banking ร่วมกับ Lombard Odier พันธมิตรทางธุรกิจ ไพรเวทแบงก์ระดับโลกจากสวิตเซอร์แลนด์ จัดงานสัมมนาออนไลน์ ในหัวข้อ “Sharp Turns or Bumpy Bends: From Crisis to Recovery” เจาะลึกแนวโน้ม และความร้อนแรงของเศรษฐกิจ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และกิจกรรมต่าง ๆ ที่สามารถกลับมาดำเนินได้อย่างปกติ หลังการเร่งฉีดวัคซีน ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นแรงกว่าที่คาด และผลกระทบต่อตลาดทุน ที่นักลงทุนต้องรู้ เพื่อให้พอร์ตการลงทุนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังการเปิดเมืองในหลาย ๆ ประเทศ โดยมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ และกลยุทธ์การลงทุนระดับโลก

เศรษฐกิจโลก

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า KBank Private Banking และ Lombard Odier ยังคงมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจโลกในปี 2564 ว่าจะยังเติบโตได้ดี แรงหนุนจากการเร่งฉีดวัคซีน การเดินหน้าเปิดเมือง รวมถึงนโยบายการเงิน และการคลังที่ยังผ่อนคลาย

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจส่วนมาก ยังบ่งชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจ อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และขยายตัวได้ดี

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวในแต่ละภาคธุรกิจ รวมถึงภูมิภาคนั้นเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน ภาคบริการมีแนวโน้ม เป็นตัวนำการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง หลังจากที่การค้าและการบริโภคฟื้นตัวได้ดีก่อนหน้านี้ และมีแนวโน้มถึงจุดสูงสุดแล้ว

ในขณะที่เศรษฐกิจแต่ละประเทศก็ฟื้นตัวไม่พร้อมกัน โดยจีนได้ฟื้นตัวนำหน้าไปแล้ว ตามมาด้วยสหรัฐ และในตอนนี้ที่ยุโรป ส่วนประเทศเกิดใหม่น่าจะฟื้นตัวในลำดับถัดไป

ภาพรวม เศรษฐกิจโลก จะขยายตัวสูงสุดในไตรมาส 3 ของปี

  • จีน

เศรษฐกิจจีนจะยังคงแข็งแกร่งในปีนี้ แต่มาตรการทางการเงิน และการคลัง จะเริ่มลดลงเพื่อลดความร้อนแรง ดังนั้น จะเห็นเศรษฐกิจจีนเติบโตในอัตราที่ชะลอลง

  • สหรัฐ

การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2564 ได้รับแรงหนุนหลักจากสหรัฐ ซึ่งต่างจากช่วงที่ผ่านมา ที่จีนเป็นส่วนสำคัญการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

  • ยุโรป

แม้ยุโรปจะเริ่มฉีดวัคซีนช้ากว่าสหรัฐ แต่ก็สามารถเร่งการฉีดวัคซีนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะหนุนภาคบริการ ที่เป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจยุโรป นอกจากนี้ เศรษฐกิจยุโรปยังมีปัจจัยสนับสนุนจากทั้งวงเงิน Recovery Fund และธนาคารกลางยุโรป ก็ยังคงมาตรการผ่อนคลาย

เศรษฐกิจโลก
จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์

ทางด้าน นางสาวศิริพร สุวรรณการ Managing Director-Private Banking Financial Advisory Head ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้เศรษฐกิจทั่วโลกทยอยฟื้นตัว แต่ความเสี่ยงบางอย่างยังคงมีอยู่

ความเสี่ยงที่สำคัญ ยังคงเป็นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยิ่งทั่วโลกได้รับวัคซีนช้าเท่าไหร่ เชื้อก็ยิ่งมีโอกาสกลายพันธ์สูงขึ้นเท่านั้น

อีกหนึ่งความความเสี่ยงก็คือ เศรษฐกิจที่เติบโตจนร้อนแรงเกินไป ทำให้ต้องถอนมาตรการทางการคลัง และการเงินเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้

ส่วนความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ที่กดดันตลาดในช่วงครึ่งปีแรก ธนาคารยังมองว่าเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น เป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น แม้ว่าเงินเฟ้อจะเริ่มปรับเพิ่มขึ้น แต่ยังคงอยู่ในยุคของเงินเฟ้อต่ำ

นอกจากนี้ หากพิจารณาส่วนประกอบที่เร่งตัวขึ้น ยังไม่น่ากังวล และจะไม่ยืดเยื้อในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น 

  • การขาดแคลนสินค้าที่ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้นเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น จากการที่ความต้องการโลกฟื้นตัว
  • เงินเฟ้อสหรัฐที่เร่งขึ้นมาจากฐานต่ำ (เช่น ราคาน้ำมัน รถมือสอง และตั๋วเครื่องบิน)
  • เงินเฟ้อสหรัฐ เร่งขึ้นจากบางสินค้าเท่านั้น ส่วนประกอบสำคัญอย่างค่าเช่าบ้านยังคงอยู่ในระดับต่ำ
  • เงินเฟ้อประเทศอื่นๆ ได้ปรับเพิ่มขึ้น จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น แต่โดยรวมยังอยู่ในระดับไม่น่ากังวล

สำหรับความกังวล จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะเริ่มผ่อนคลายนโยบาย และถอนสภาพคล่อง ล่าสุดในการประชุม FOMC เดือนมิถุนายน เฟดได้ปรับเพิ่มประมาณการจีดีพีการจ้างงาน และเงินเฟ้อ สำหรับปี 2565 และ 2566 เพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นการปรับให้สอดคล้องกับมุมมองของตลาดเท่านั้น

แต่การเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญจากการประชุม คือ

  • คณะกรรมการคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2566
  • เฟด ได้เริ่มหารือเกี่ยวกับการลดการซื้อสินทรัพย์แล้ว

มุมมองของธนาคารต่อการดำเนินนโยบายของเฟดคือ

  1. เริ่มส่งสัญญาณลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ระหว่างเดือนสิงหาคมในการประชุมที่ Jackson Hole จนถึงปลายปีนี้
  2. เริ่มลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงธันวาคม 2565 เดือนละ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
  3. ขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกกลางปี 2566 โดยการขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2566 ถือว่ามีโอกาสสูง และอยู่ในวิสัยที่เหมาะสม
เศรษฐกิจโลก
ศิริพร สุวรรณการ

ขณะที่ ดร.ตรีพล ภูมิวสนะ Managing Director-Private Banking Business Head กล่าวว่า จากมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจ ธนาคารแนะนำ 10 กลยุทธ์การลงทุนสำหรับช่วงครึ่งปี ได้แก่

  • ลงทุนต่อเนื่องในสินทรัพย์เสี่ยง 

จากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดีในปีนี้ จะช่วยหนุนกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงแนวโน้มเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเพียงชั่วคราวจะยังหนุนสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นให้ไปต่อได้

  • ลงทุนในหุ้นกลุ่มวัฏจักร และ Value ที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว 

ปัจจุบันหุ้น Growth นั้นถูกซื้อขายที่ราคาสูงกว่าหุ้น Value อยู่มาก นอกจากนี้ แนวโน้มผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับสูงขึ้น จะเป็นแรงหนุนให้กับหุ้น Value มากกว่าหุ้น Growth

  • อย่าพลาดการลงทุนในหุ้นยุโรป

หุ้นยุโรป และหุ้นอังกฤษ มีระดับ Valuation ที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับประเทศอื่น และมีศักยภาพการเติบโตของกำไรสูง

  • ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะปรับเพิ่มขึ้น

โดยประเมินผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อายุ 10 ปี ที่ 2% ณ สิ้นปี 2564 และ 2.5% ในช่วงปลายปี 2565 สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาว ของดอกเบี้ยนโยบายเฟด

  • ลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ดอกเบี้ยสม่ำเสมอ

โดยเฉพาะในจีน (Use carry strategies to generate yield) เพราะ โดยเฉลี่ยตราสารหนี้จีนให้ผลตอบแทน มากกว่าตราสารหนี้สหรัฐ ที่มีอายุเท่ากันถึง 1.5% นอกจากนั้น ตราสารหนี้จีนจะได้ประโยชน์จากทิศทางเงินหยวนที่แข็งค่าอีกด้วย

  • คงมุมมองบวกต่อค่าเงินหยวน และหาจังหวะเข้าซื้อค่าเงินยูโร

ธนาคารคาดว่าเงินหยวนจะแข็งค่าสู่ระดับ 6.22 หยวนต่อดอลลาร์ ณ สิ้นปี หนุนโดยการส่งออก และดุลการชำระเงินที่แข็งแกร่ง ขณะที่ยูโรจะแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.23 ดอลลาร์ ต่อ 1 ยูโร ภายในสิ้นปีนี้

  • คงมุมมองว่าดอลลาร์จะอ่อนค่า

จากข้อมูลในอดีต ดอลลาร์สหรัฐฯ มักอ่อนค่ากว่ามูลค่าที่เหมาะสม เมื่อเศรษฐกิจโลกเติบโตได้ดี ดังเช่นในปัจจุบัน

  • ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลดลง (Remain bearish on gold)

ทองคำจะถูกกดดันจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ทั้งนี้ คาดว่า ณ สิ้นปีนี้ ราคาทองคำจะอยู่ที่ระดับ 1,600 ดอลลาร์ ต่อออนซ์

  •  มองหุ้นโครงสร้างพื้นฐานให้ผลตอบแทนโดดเด่น

หนุนโดยแผนการฟื้นฟูของสหรัฐ และยุโรป ที่พุ่งเป้าไปยังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลัก เราจึงคาดว่า ราคาหุ้นกลุ่มนี้จะสามารถปรับขึ้นได้ดี หนุนโดยกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าต่อเนื่อง

  • การลงทุนในบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน จะเป็นกุญแจสำคัญของพอร์ตแห่งอนาคต

บริษัทที่ช่วยลดภาวะโลกร้อน จากการปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจ เช่น บริษัทน้ำมันที่เปลี่ยนธุรกิจ ไปสู่การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ หรือระบบโซลาร์เซลล์แทน โดยในระยะยาว บริษัทเหล่านี้ถือเป็นผู้นำเทรนด์เศรษฐกิจในโลกอนาคต

เศรษฐกิจโลก
ดร.ตรีพล ภูมิวสนะ

เพื่อสร้างโอกาส และคว้าผลตอบแทนเพิ่มเติมในยุคเปิดเมือง ธนาคารยังแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน

  • สินทรัพย์ทางเลือก

ไม่ว่าจะเป็นหุ้นนอกตลาด REITs ไปจนถึงกลยุทธ์การลงทุนแบบ Hedge Fund หรือ Structured Notes จะช่วยแสวงหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมในช่วงตลาดที่หลากหลาย และมีความผันผวนสูง

  • หุ้นกู้เอกชนจีน

เนื่องจากดอกเบี้ยในฝั่งประเทศเกิดใหม่ ยังน่าสนใจกว่าประเทศพัฒนาแล้ว นอกจากนี้ ตลาดหุ้นกู้จีนก็มีเสถียรภาพมากขึ้น โดยการลงทุนในหุ้นกู้จีนในบริษัทที่ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีการเติบโตของกำไรสุทธิที่ดี คาดว่าจะช่วงพยุงพอร์ตโดยรวมได้ดี สำหรับการคัดสรรหุ้นกู้คุณภาพมีความสำคัญ

ในทางกลับกัน ก็ให้ลดน้ำหนักการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เพราะจะได้รับผลกระทบจากบอนด์ยีลด์ขาขึ้น ที่จะทำให้ราคาปรับลง รวมถึงอัตราผลตอบแทนก็ต่ำมาก อาจไม่สามารถชดเชยกับแนวโน้มราคาที่ปรับลงได้

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในตอนท้ายว่า ท่ามกลางสภาวะตลาดปัจจุบันที่มีความผันผวนสูง แต่แนวโน้มเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวหลังการเปิดเมือง ธนาคารยังคงเชื่อมั่นว่าการลงทุนระยะยาว ผ่านการกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ เพื่อลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนในระยะสั้น

อีกทั้งยังคงเน้นการลงทุนหุ้นในธีม Winner of New Economy, Health is Wealth, Save the World และ Laggard and Cyclical Upturns ที่ล้วนมีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะ รวมไปถึงความสามารถในการคัดเลือกหุ้นของผู้จัดการกองทุนชั้นนำของโลก จะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo