COVID-19

เด็กติดโควิดสูงขึ้น สธ.เตือน 23 จังหวัดแนวโน้มผู้ติดเชื้อเพิ่ม ย้ำฉีดวัคซีนช่วยได้

สธ.เผยกลุ่มเด็กติดโควิดสูงขึ้น เตือน 23 จังหวัดที่มีแนวโน้มติดเชื้อสูง ประชาชนต้องป้องกันตนเองเพิ่มขึ้น ย้ำฉีดวัคซีน เว้นระยะห่างในครอบครัว ป้องกันแพร่เชื้อให้ผู้สูงอายุ

นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค และนพ.วิชาญ ปาวัน ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โควิด 19 และความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด-19

เด็กติดโควิด

นพ.จักรรัฐ กล่าวว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบกลุ่มเด็ก 0-9 ปี และวัยรุ่น 10-19 ปี มีการติดเชื้อสูงขึ้น โดยกลุ่มอายุ0-4 ปี และ 5-9 ปี ส่วนใหญ่ติดเชื้อในครอบครัว กลุ่มอายุ 10-14 ปี และ 15-19 ปี เป็นการติดเชื้อในโรงเรียน ส่วนการสัมผัสผู้ติดเชื้อนอกบ้านและในชุมชน เป็นกลุ่ม 15-19 ปี

หากเด็กติดโควิดในบ้าน โดยเฉพาะเด็กเล็ก ขอให้เว้นระยะห่างจากผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว เพราะอาจติดเชื้อและเกิดอาการรุนแรงได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป จะมีอัตราติดเชื้อเสียชีวิตสูงกว่าเด็กเล็กถึง 200 เท่า จึงต้องรณรงค์ให้มารับวัคซีนทั้งในเด็กและผู้สูงอายุ

 

นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข ปรับการรายงานสถานการณ์โควิด 19 โดยเน้นติดตามจำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบและเสียชีวิต มากกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน

สธ.2

สำหรับวันนี้ (10 กุมภาพันธ์) มีผู้เสียชีวิต 20 ราย ทั้งหมดเป็นผู้สูงอายุ และมีโรคเรื้อรัง ส่วนผู้ป่วยปอดอักเสบมี 563 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 114 ราย เทียบกับวันที่ 13 สิงหาคม 2564 ที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด และมีผู้ป่วยปอดอักเสบ 5,600 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 1,100 ราย

ขณะนี้มีผู้ป่วยปอดอักเสบและใส่ท่อช่วยหายใจประมาณ 1 ใน 10 เท่านั้น เช่นเดียวกับผู้ป่วยที่กำลังรักษาขณะนี้ 105,129 ราย เป็นเพียงครึ่งเดียวจากช่วงที่ติดเชื้อสูงสุด ส่วนผู้ติดเชื้อรายวัน แนวโน้มยังสูงขึ้นต่อเนื่องจากการเริ่มผ่อนคลายมาตรการและมีกิจกรรมทางสังคมเพิ่มขึ้น

 

ทั้งนี้ จังหวัดที่ติดเชื้อสูง 23 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ นครสวรรค์ นครราชสีมา ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด บุรีรัมย์ ขอนแก่น มหาสารคาม สุรินทร์ ภูเก็ต นครศรีธรรมราช ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา ระยอง ปราจีนบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี และ กทม.

ขอให้ประชาชนในจังหวัดหรือผู้เดินทางเข้าจังหวัดเหล่านี้ ระมัดระวังป้องกันตนเองอย่างเข้มข้น สวมหน้ากากตลอดเวลา เว้นระยะห่างจากผู้อื่น การรับประทานอาหารร่วมกันขอให้เว้นระยะห่าง โดยเฉพาะกลุ่ม 608 เลี่ยงการพูดคุย เพื่อลดโอกาสการแพร่เชื้อ

โควิดในเด็ก

ด้าน นพ.วิชาญ กล่าวว่า การระบาดในระลอกนี้ พบผู้ป่วยเด็กติดโควิดกลุ่มอายุ 5-11 ปี สูงขึ้น แม้ส่วนใหญ่จะอาการค่อนข้างน้อย แต่ต้องเร่งฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็ก เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในครอบครัว และไปโรงเรียนได้อย่างปลอดภัย

ขณะที่แนวทางการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในกลุ่มเด็ก ของ กระทรวงสาธารณสุข มีผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาอย่างรอบคอบ บนพื้นฐานข้อมูลวิชาการทั้งมาตรฐานและความปลอดภัยผลการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ประสิทธิผลด้านการป้องกันการติดเชื้อ การป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิต

ปัจจุบันมีวัคซีนที่ผ่านการพิจารณาให้ฉีดในกลุ่มอายุต่ำกว่า 18 ปี ได้แก่

  • ไฟเซอร์ (ฝาสีส้ม) สำหรับอายุ 5-11 ปี
  • ไฟเซอร์ (ฝาสีม่วง) สำหรับอายุ 12-17 ปี
  • ซิโนแวค/ซิโนฟาร์ม สำหรับอายุ 6-17 ปีขึ้นไป
  • สูตรไขว้ ซิโนแวคและไฟเซอร์ สำหรับอายุ 12-17 ปี

วัคซีนเด็ก

ส่วนการฉีดวัคซีนเด็กนั้น ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม – 8 กุมภาพันธ์ 2565 ฉีดวัคซีนเด็กอายุ 5-11 ปี ไปแล้ว 66,165 คน จากทั้งหมด 5.1 ล้านคน ยังไม่มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการได้รับวัคซีน

สำหรับเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับวัคซีน ข้อมูลล่าสุดวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2565 ประเทศไทยฉีดวัคซีนโควิด 19 ไปแล้ว 117,094,785 โดส พบอาการไม่พึงประสงค์ ดังนี้

  • การแพ้ชนิดรุนแรงในซิโนแวคมากกว่าชนิดอื่น
  • ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ/เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ พบในไฟเซอร์มากกว่าชนิดอื่น
  • ภาวะลิ่มเลือดอุดตันร่วมกับเกล็ดเลือดต่ำ พบในแอสตร้าเซนเนก้ามากกว่าชนิดอื่น

อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มเด็ก พบว่ามีอัตราป่วยตายจากโรคโควิด 2 รายในหมื่นราย แต่หากฉีดวัคซีนแล้ว อัตราการตายลดลงเป็นพันเท่า ดังนั้น หากฉีดวัคซีนจะมีประโยชน์มากกว่าในการช่วยป้องกันการป่วยตายในเด็กได้ดี

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo