สถานการณ์โควิด! “อนุทิน” การันตี “โอไมครอน” ไม่รุนแรงเท่า “เดลตา” ยันรัฐบาลมีนโยบายให้เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา จ่อชง “ศบค.” คลายล็อกทันทีหากสถานการณ์ดีขึ้น
ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์โควิด ระบุว่า ตั้งแต่ช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นต้นมา แม้ว่าเรามีผู้ป่วยติดเชื้อโควิดเพิ่มมากขึ้น เพราะสายพันธุ์โอไมครอนได้เข้ามาระบาดในไทยแล้ว แต่การให้การรักษาพยาบาล ความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อ รวมถึงผู้ติดเชื้ออาการรุนแรงที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือห้องไอซียูไม่ได้มีจำนวนมากขึ้น
ยอดผู้เสียชีวิตขาลง
นอกจากนี้ ผู้เสียชีวิตในแต่ละวันอยู่ในจำนวนที่เป็นขาลงไม่เกิน 20 รายต่อวันมาเป็นระยะหนึ่งแล้ว ทำให้เรามีความมั่นใจได้ว่าสายพันธุ์โอไมครอนแม้ติดเชื้อได้ง่าย แต่ความรุนแรงยังไม่เท่ากับสายพันธุ์เดลตา
“ผมขอยืนยันว่า ได้มอบนโยบายหารือกับทางปลัดกระทรวงสาธารณสุขอย่างชัดเจนว่า เมื่อสถานการณ์เป็นไปในแนวโน้มที่ดีขึ้นแล้ว กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งทำการเสนอให้กับ ศบค. ได้มีการผ่อนคลายมาตรการให้มากที่สุด และเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือถ้าเหตุที่เป็นอันตรายต่อประชาชนในภาพรวม กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งเสนอให้มีมาตรการเพื่อเน้นย้ำถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก” นายอนุทิน กล่าว
ขณะเดียวกัน ยืนยันว่า รัฐบาลได้มีนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุข เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ยอมรับว่าเราต่อสู้กับโควิดเข้าปีที่ 3 แล้ว เพราะฉะนั้นทุกข้อมูลพยายามที่จะพัฒนาเพื่อให้มีความปลอดภัย สำหรับข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ขอให้ยึดถือข้อมูลทางกระทรวงสาธารณสุขได้แถลงให้กับประชาชนได้ทราบเป็นหลัก เพราะเป็นข้อมูลที่มีกรอง วิเคราะห์ และประเมินแล้ว ซึ่งจะมีความครบถ้วน ยืนยันว่ากระทรวงสาธารณสุขไม่มีวันที่จะปรุงแต่งข้อมูล ตัวเลข เพียงเพื่อให้ประชาชนไม่เกิดความวิตกกังวล โดยเราไม่ได้ทำมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ขอความกรุณาอย่าปฏิเสธวัคซีน
“ส่วนวัคซีนขณะนี้ได้ทำงานของเขาแล้ว และเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความปลอดภัย ไม่มีการสูญเสียซึ่งชีวิต เพราะฉะนั้นจากการสำรวจมีอีกหลายคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน วันนี้เราไปเข็มที่สามแล้ว ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรกขอให้มารับวัคซีน เดี๋ยวจะให้นโยบายไปเลยว่าผู้ที่ยังไม่ได้วัคซีนเข็มแรกไม่ต้องไปจอง สามารถวอล์คอินได้เลย เพื่อสร้างแรงจูงใจ เพราะเราเชื่อว่าผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนอาจมีปัญหาในการเข้าถึง สำหรับผู้ที่ปฏิเสธวัคซีน ตนขอความกรุณาว่าอย่าปฏิเสธวัคซีน เพราะวัคซีนทุกชนิดที่กระทรวงสาธารณสุขได้จัดหามา เป็นวัคซีนที่มีมาตรฐานในการป้องกันการติดเชื้อ การเจ็บป่วยหนักรวมถึงเสียชีวิตได้” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ส่วนเด็กอายุ 5-12 ปี ขอให้ผู้ปกครองนำบุตรหลานมาเริ่มฉีดวัคซีนได้ เราได้รับการแจ้งจากผู้ผลิตวัคซีนไฟเซอร์แล้วว่าสามารถฉีดให้กับเด็กอายุ 5-12 ปีได้ ซึ่งเราจะทำการลดช่วงอายุลงไปจาก 12 ปีเป็น 5 ปี ซึ่งจะช่วยป้องกันในการแพร่ระบาดของเชื้อได้มาก โดยภายในต้นเดือนกุมภาพันธ์เราจะมีวัคซีนไฟเซอร์ที่ขึ้นทะเบียน สำหรับฉีดให้กับเด็กอายุ 5-12 ปี มากเพียงพอครอบคลุม เด็กทุกคนจำนวนเด็กทุกคน ไม่ขาดแน่นอน
ยอดผู้ติดเชื้อเริ่มทรงตัว
ด้านนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นในช่วงต้นปี แต่ขณะนี้เริ่มทรงตัว และมีแนวโน้มลดลง โดยจากฉากทัศน์ที่เคยคาดการณ์ไว้ จะเห็นได้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้ออยู่ในระดับสูงสุด แต่ขณะนี้เริ่มลดลงอยู่ในระดับปานกลาง ในขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิต อยู่ในระดับต่ำกว่าสถานการณ์ที่คาดไว้มาก ทั้งนี้ เกิดจากการที่รัฐออกมาตรการเพิ่มเติม และได้รับความร่วมมือจากประชาชนมากขึ้น ประกอบกับมาตรการการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุม และโรคโควิดสายพันธุ์โอมิครอนมีความรุนแรงลดลง
“ในช่วง 14 วันที่ผ่านมา สามารถดำเนินการตามแผนชะลอการระบาดได้ดี โดยปัจจุบันยังไม่พบการกลายพันธุ์ ส่วนกรณีที่ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ขาดแคลนในตลาด แปลว่าประชาชนให้ความสนใจจำนวนมาก ซึ่งทาง อภ. จะมีการจำหน่ายสัปดาห์ละ 1 ล้านชุด” นพ.เกียรติภูมิ กล่าว
วัคซีนมีเพียงพอ
ด้าน นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ยืนยันว่า ขณะนี้วัคซีนมีเพียงพอ โดยในปีนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการจัดซื้อวัคซีนทั้งหมด 90 ล้านโดส โดยมีวัคซีนไฟเซอร์จำนวน 30 ล้านโดส ดังนั้น มีเพียงพอสำหรับการฉีดบูสเตอร์แน่นอน ส่วนลำดับการฉีดวัคซีนจะเรียงจากวัคซีนชนิดเชื้อตายก่อน ต่อด้วยไวรัลเวกเตอร์ และ mRNA
พร้อมย้ำว่า การฉีดวัคซีนทุกประเภท ทุกสูตร มีประสิทธิผลสูงมาก (90-100%) ในการป้องกันการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิต ส่วนการฉีดวัคชีนครบ 2 เข็มประเภทเดียวกัน มีประสิทธิผลสูงพอสมควร ในการป้องกันการติดเชื้อ โดยประสิทธิผลจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไปหลังฉีดวัคซีน ในส่วนของผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็ม 3 กระตุ้นทั้งสูตรวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า และไฟเซอร์ บ่งชี้ว่ายังมีประสิทธิผลป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนได้สูง (80-90%) จากเหตุการณ์การระบาดที่จังหวัดกาฬสินธุ์
เตียงยังไม่เต็ม!
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงสถานการณ์เตียงว่า ขณะนี้ยังมีเพียงพอ โดยวันที่ 13 มกราคม 2565 เตียงทั้งประเทศอยู่ที่ 46,873 เตียง เนื่องจากโรคโควิดสายพันธุ์โอไมครอนส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ หรือมีอาการน้อย จึงเน้นการรักษาในระบบ HI และ CI เป็นหลัก โดยขณะนี้กำลังปรับเปลี่ยนวิธีการสำหรับผู้ที่ตรวจ ATK ซึ่งจะมีการแบ่งเป็นความเสี่ยงสูง และเสี่ยงต่ำเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ขอความร่วมมือสถานบริการสุขภาพ เน้น “HI & CI first” เตรียมความพร้อมสำหรับการจัด HI และ CI ติดต่อกลับผู้ป่วยให้เร็วที่สุดภายใน 6 ชั่วโมง ภายหลังได้รับแจ้งจาก 1330 และประเมินความเหมาะสมสำหรับผู้ติดเชื้อตามดุลยพินิจของแพทย์แนะนำการปฏิบัติตัวที่บ้านให้กับผู้ติดเชื้อ ติดตามและประเมินอาการผู้ติดเชื้อในระบบ HI และ CI อย่างน้อยวันละครั้ง และจัดระบบนำส่งผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาล (กรณีฉุกเฉิน หรือผู้ป่วยมีอาการรุนแรง) รวมทั้งร่วมกันรับผู้ป่วยเด็กเข้ารับการรักษา
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘อนุทิน’ แจงปมดราม่า ‘ธนาธร’ ยันไม่ใช่ VIP ขออย่านำมาเป็นประเด็น!
- ‘อนุทิน’ จี้องค์การเภสัชฯ เร่งจัดหา ATK แก้ขาดแคลน สปสช.เหลือสำรอง 1 ล้านชุด
- แจงดราม่า ภาพปาร์ตี้ปีใหม่ ‘ลูกชายอนุทิน’ ยันมาตรการในงานเข้ม จัดเฉพาะครอบครัว