World News

‘โจ ไบเดน’ นักสร้างประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกัน

“โจ ไบเดน” หรือ “โจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดน จูเนียร์” ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกา จัดได้ว่า เป็นผู้ที่สร้างประวัติศาสตร์ และสถิติหลายต่อหลายครั้งให้กับแวดวงการเมืองอเมริกัน 

นักการเมืองชาวอเมริกัน สังกัดพรรคเดโมแครตรายนี้ เคยดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 ระหว่างปี  2552-2560 เป็นสมาชิกวุฒิสภาจากรัฐเดลาแวร์เจ็ดสมัยติดต่อกัน ระหว่างปี 2515 – 2552

ไบเดน win 01

ไบเดนเกิดที่เมืองสแครนตัน ในรัฐเพนซิลเวเนีย และอาศัยอยู่ที่เมืองนี้จนอายุได้ 10 ปี จึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองเดลาแวร์ จนถึงทุกวันนี้  โดยเขาประกอบอาชีพเป็นทนายความตั้งแต่ปี 2512 และได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในคณะลูกขุนเมื่อปี 2513

ปี 2515 ไบเดน ก้าวเข้ามาสู่เส้นทางการเมืองเป็นครั้งแรก จากการลงเลือกตั้งวุฒิสมาชิก  ซึ่งเมื่อคว้าชัยชนะมาได้ เขาก็กลายเป็น สมาชิกวุฒิสภาที่มีอายุน้อยสุดเป็นอันดับ 5 ในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐ

จากนั้น เขาก็ชนะการเลือกตั้งมาอย่างต่อเนื่อง ในปี 2521, 2527, 2533, 2539 และ 2545 นับว่าเป็น สมาชิกวุฒิสภาที่ครองตำแหน่งมานานที่สุดเป็นอันดับ 6 ในประวัติศาสตร์อเมริกันอีกด้วย

ไบเดนเป็นสมาชิกของคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ต่างประเทศมายาวนาน จนได้เป็นประธานของคณะกรรมการชุดนี้ ศิลปะการเจรจาของเขา เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความเหลือทางการทหาร และการเข้าแทรกแซงในสงครามบอสเนียของสหรัฐ

เขาออกเสียงสนับสนุนนโยบายการแก้ปัญหาสงครามอิรัก แต่ต่อมาได้ประกาศจุดยืนว่า อยากให้เปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ดังกล่าว

ไบเดนยังได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการศาลยุติธรรม สำหรับสมาชิกวุฒิสภาด้วย โดยมีบทบาทในเรื่องยาเสพติด อาชญากรรม การป้องกันภัย และสิทธิพลเมือง ทั้งยังเป็นแกนนำ เสนอกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาชญากรรมการใช้ความรุนแรง และการบีบบังคับ และกฎหมายว่าด้วยการคุกคามสตรี

shutterstock 1405653386

เมื่อปี 2531 และ 2551ไบเดนเคยลงสมัครชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครต เพื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ แต่ไม่ประสบความสำเร็จทั้งสองครั้ง แต่ในปี 2551 บารัก โอบามา ผู้สมัครที่ได้ตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครต ตัดสินใจเลือกเขา เป็นคู่สมัคร ลงเลือกตั้งประธานาธิบดี และได้รับเลือกตั้งเป็นรองประธานาธิบดี

สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2563 นี้ ไบเดน เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ในการชิงงชัยตำแหน่งผู้นำอเมริกัน โดยเขาได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ให้กับการเมืองอเมริกันอีกครั้ง จากการเลือกนางคามาลา แฮร์ริส เป็นคู่หูในตำแหน่งรองประธานาธิบดี  ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงเชื้อสายเอเชียรายแรก ที่ได้มาอยู่ในตำแหน่งนี้

ถ้าหากไบเดน ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ เขาก็จะสร้างประวัติศาสตร์  เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ขณะขึ้นครองตำแหน่ง ในวัย 77 ปี

นโยบายของ “โจ ไบเดน”

  • ตรวจหาเชื้อและติดตามตัว “โควิด”ทั่วประเทศ

จัดให้มีการตรวจหาเชื้อฟรี และจ้างคน 100, 000 แสนอัตรา สำหรับดำเนินโครงการติดตามตัวผู้สัมผัสเชื้อทั่วประเทศ โดยไบเดน บอกว่า ต้องการให้มีศูนย์ตรวจหาเชื้ออย่างน้อย 10 แห่งในแต่ละรัฐ  และเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางจัดสรรทรัพยากร ให้ผู้เชี่ยวชาญของรัฐบาลกลางกำหนดข้อแนะนำให้เป็นเรื่องเป็นราว เขาบอกด้วยว่าผู้ว่าการรัฐทุกรัฐ ควรออกข้อบังคับเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย

  • เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ- ลงทุนเรื่องพลังงานสีเขียว

ไบเดนให้คำมั่นว่า จะ “จัดสรรงบให้เท่าที่จำเป็น” เพื่อปล่อยกู้ให้ธุรกิจขนาดเล็ก และเพิ่มเงินเยียวยาให้ครอบครัว  หนึ่งในข้อเสนอคือเพิ่มเงินช่วยเหลือด้านสังคม 200 ดอลลาร์ ( ราว 6,000 บาท) ต่อเดือน ซึ่งเท่ากับเป็นการล้มเลิกนโยบายลดหย่อนภาษี และโครงการผ่อนผันหนี้เงินกู้เพื่อการศึกษาของรัฐบาลทรัมป์

เขาสนับสนุนให้เพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์ (ราว 465 บาท) ต่อชั่วโมง มาตรการนี้ถูกใจกลุ่มคนหนุ่มสาวอย่างมาก และยังเป็นนโยบายเสาหลักของพรรค ในปี 2563 ที่ชี้ให้เห็นว่าพรรคเริ่มเอนไปทางฝ่ายซ้ายมากขึ้น

ไบเดนยังต้องการลงทุน 2 ล้านล้านดอลลาร์  ในเรื่องพลังงานสะอาด โดยบอกว่าการส่งเสริมสายการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นการช่วยชนชั้นแรงงานไปในตัว เพราะพวกเขาก็จะเป็นแรงงานหลักในสายการผลิตนี้อยู่แล้ว

shutterstock 1752911258

  • ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เงินให้เปล่าสำหรับชุมชนชองชนกลุ่มน้อย

หลังเกิดกระแสประท้วงเรื่องความอยุติธรรมทางเชื้อชาติทั่วสหรัฐ ไบเดนบอกว่าเขาเชื่อว่า การเหยียดเชื้อชาติยังมีอยู่ในสหรัฐ  ซึ่งจัดการได้ด้วยแผนเศรษฐกิจและสังคมเพื่อสนับสนุนคนกลุ่มน้อย

หัวใจของแผนฟื้นฟูของเขาคือการทุ่มงบ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างงานและธุรกิจให้คนกลุ่มน้อย

  • กลับเข้าร่วมข้อตกลงระดับโลกอีกครั้ง

ไบเดนบอกว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยอันตรายที่มีอยู่จริง เขาบอกว่าจะสนับสนุนให้ทุกชาติในโลก เร่งมือจัดการเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ ด้วยการเข้าร่วมข้อตกลงปารีสอีกครั้ง หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศให้สหรัฐ ถอนตัวออกมา ข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลให้สหรัฐฯต้องลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 28% ภายในปี 2025

  • กู้ชื่อเสียงของอเมริกาและอาจจัดการกับจีน

ไบเดนบอกว่า ในฐานะประธานาธิบดี เขาจะให้ความสำคัญกับประเด็นระดับชาติก่อน นั่นหมายถึงว่า เขายังยึดแนวทางการทำงานร่วมกับนานาชาติในเวทีโลก ตรงข้ามกับนโยบายของทรัมป์ที่ต้องการแยกอเมริกาออกมา พร้อมให้สัญญาด้วยว่าจะกระชับความสัมพันธ์กับชาติพันธมิตร

ส่วนเรื่องจีน เขาบอกว่า จีนควรรับผิดชอบเรื่องนโยบายการค้าและสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นธรรม แต่แทนที่จะมุ่งเป้าขึ้นกำแพงภาษี เขาเสนอผนึกกำลังกับชาติประชาธิปไตยอื่น เพื่อให้จีนเพิกเฉยไม่ได้ แม้จะไม่ชัดเจนว่าเขาหมายถึงอะไรกันแน่

  • ขยายแผนโอบามาแคร์

ตอนที่เขาเป็นรองประธานาธิบดี สมัยรัฐบาลโอบามา เขาบอกว่าจะขยายแผนประกันสุขภาพ และเดินหน้าให้แผนสำเร็จ เพื่อให้ชาวอเมริกันราว 97% ได้รับความคุ้มครอง และเกือบจะได้เสนอแผนดูแลสุขภาพถ้วนหน้าด้วย

shutterstock 1389604598

  • ยกเลิกนโยบายทรัมป์ เรื่องย้ายถิ่นฐาน

นายไบเดนสัญญาว่า ภายใน 100 วันแรกของการขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐ เขาจะเปลี่ยนนโยบายของทรัมป์ ที่พรากพ่อแม่ลูก บริเวณชายแดนระหว่างสหรัฐ กับเม็กซิโก ยกเลิกข้อจำกัดเรื่องการสมัครขอรับสถานะผู้ลี้ภัย และยกเลิกข้อห้ามเดินทางเข้าประเทศจากกลุ่มประเทศมุสลิม

เขายังสัญญาจะปกป้อง “นักล่าฝัน” ซึ่งเป็นเยาวชนจากครอบครัวผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย และได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัยในประเทศได้ภายใต้นโยบายรัฐบาลโอบามา เขาบอกว่าจะให้คนกลุ่มนี้มีสิทธิ์เข้าโครงการขอเงินช่วยเหลือสำหรับนักเรียนด้วย

  • โครงการเพื่อเด็กวัยก่อนเข้าเรียน ขยายสิทธิ์เรียนฟรี

หนุนนโยบายด้านการศึกษาหลายประการ ซึ่งเป็นแนวนิยมของทางพรรคเดโมแครต ไม่ว่าจะเป็น การผ่อนผันหนี้เงินกู้เพื่อการศึกษา การเพิ่มวิทยาลัยที่ไม่เก็บค่าเล่าเรียน และการเข้าถึงโครงการเพื่อเด็กก่อนวัยเรียน งบประมาณที่จะมาใช้ตรงนี้จะมาจากการยกเลิกแผนลดภาษีของทรัมป์

ที่มา : วิกิพีเดีย, บีบีซี

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo