ตลาดหุ้นสหรัฐ ซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (29 ก.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น ปรับตัวลดลง เหตุเจอแรงเทขายทำกำไร หลังจากดัชนีพุ่งกว่า 400 จุดเมื่อวานนี้ (28 ก.ย.)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดอยู่ที่ 27,408.79 จุด ลดลง 175.27 จุด หรือ 0.64% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 3,335.23 จุด ปรับลงมา 16.37 จุด หรือ 0.49% และดัชนีแนสแด็กที่ 11,108.43 จุด ลบ 9.09 จุด หรือ 0.08%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้นเมื่อวานนี้ ขานรับความคืบหน้าเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร หลังจากหุ้นทั้งสองกลุ่มร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา
นักลงทุนจับตาการดีเบตรอบแรกระหว่างคู่ชิงประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งได้แก่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน และนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ จากพรรคเดโมแครต
การดีเบตจะมีขึ้นในวันนี้ เวลา 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเช้าวันพรุ่งนี้ (30 ก.ย.) เวลา 08.00 น.ตามเวลาไทย โดยจะใช้เวลารวม 90 นาที ซึ่งผู้เข้าดีเบตจะต้องแสดงวิสัยทัศน์ใน 6 หัวข้อ ได้แก่ ประวัติของทรัมป์และไบเดน, ศาลฏีกาสหรัฐ, โควิด-19, เศรษฐกิจ, เชื้อชาติและความรุนแรงในเมืองต่างๆของสหรัฐ รวมทั้งความบริสุทธิ์ยุติธรรมของการเลือกตั้ง แต่ละหัวข้อจะใช้เวลาอภิปราย 15 นาที
สำหรับการดีเบตรอบแรกนี้ ตัวแทนของทรัมป์และไบเดนเห็นพ้องกันว่า ผู้อภิปรายทั้งสองจะไม่มีการจับมือทักทายกันก่อนการดีเบตตามธรรมเนียมปฏิบัติแต่อย่างใด อันเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ รวมทั้งจะไม่มีการเอาข้อศอกชนกันด้วย
ขณะที่ทั้งทรัมป์และไบเดนจะไม่สวมหน้ากากอนามัย ส่วนการยืนบนเวทีนั้น ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่า ทรัมป์จะใช้โพเดียมฝั่งขวาของเวที ส่วนไบเดนจะใช้โพเดียมฝั่งซ้าย และผู้เข้าชมการดีเบตจะถูกจำกัดเหลือเพียง 60-70 คน จากเดิมที่มีจำนวน 900-1,200 คน และทุกคนจะต้องมีผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นลบ
นักวิเคราะห์เตือนว่าการซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะผันผวนในสัปดาห์นี้ โดยได้รับผลกระทบจากการดีเบต ซึ่งหากทรัมป์ชนะการดีเบตดังกล่าว ก็จะส่งผลให้หุ้นในกลุ่มเชื้อเพลิงฟอสซิล และบริษัทผลิตอาวุธดีดตัวขึ้น และหากไบเดนเป็นฝ่ายชนะ ก็จะทำให้หุ้นในกลุ่มที่มีการค้าทั่วโลก และกลุ่มพลังงานหมุนเวียนปรับตัวขึ้น
นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะทรุดตัวลง หากไบเดนคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 3 พฤศจิกายน แต่ตลาดจะขานรับชัยชนะของทรัมป์
จากการที่ไบเดนมีนโยบายเพิ่มภาษีคนรวยเพื่อช่วยคนจน โดยเขาจะยกเลิกมาตรการปรับลดอัตราภาษีของทรัมป์ ด้วยการปรับขึ้นอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสู่ระดับ 28% จากเดิมที่ทรัมป์ปรับลดจาก 35% สู่ระดับ 21% ในปัจจุบัน
ไบเดนจะปรับเพิ่มภาษีของครัวเรือนที่มีรายได้มากกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี โดยมีการคาดการณ์ว่าการปรับขึ้นภาษีดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น 4 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลา 10 ปี ขณะที่ไบเดนเปิดเผยว่าเขาจะเพิ่มการลดหย่อนภาษีสำหรับชนชั้นกลาง และให้เงินอุดหนุนภาษีสำหรับการเลี้ยงดูบุตรมากขึ้น
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังจับตาความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างสภาคองเกรสและทำเนียบขาวในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ โดยนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ส่งสัญญาณว่า ตนและนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ มีแนวโน้มบรรลุข้อตกลงในการออกมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่ เพื่อลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจดังกล่าวมีวงเงิน 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่พรรคเดโมแครตมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้ทำเนียบขาวและสภาคองเกรสบรรลุข้อตกลงกันก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘เดลี่พาส’ ลุยธุรกิจแนวใหม่ ‘ตั๋วหนึ่งวัน’ ใช้ชีวิตในโรงแรมหรู
- ‘บิ๊กแดง’ ทิ้งท้าย! ตนเป็น ผบ.ทบ. อย่างสง่างาม สิ่งสำคัญสุดคือเทิดทูนสถาบัน
- มท. สั่งการทุกจังหวัด กันทุจริต ‘งบภัยแล้ง-น้ำท่วม’ ดึงคนนอกร่วมตรวจสอบ