General

ศรีสุวรรณ รวบพิรุธคดี ‘บอส อยู่วิทยา’ ร้อง ป.ป.ช. เอาผิดตำรวจยันอัยการ

ร้อง ป.ป.ช. เอาผิดตำรวจยันอัยการ “ศรีสุวรรณ” รวมพิรุธ จี้คดี วรยุทธ อยู่วิทยา ชี้ถึงเวลา ปฏิรูปตำรวจ และอัยการ ชนิดถอนรากถอนโคน สางกระบวนการยุติธรรม

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะนำความทั้งหมดที่รวบรวมได้ ในคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต โดยจะเข้า ร้อง ป.ป.ช. เอาผิดตำรวจยันอัยการ

ร้อง ป.ป.ช. เอาผิดตำรวจยันอัยการ

ทั้งนี้ จากกรณีที่คณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนฯ เชิญตำรวจมาชี้แจง กรณีไม่แย้งคำสั่งอัยการ ที่ไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ซึ่งขับรถชนตำรวจเสียชีวิต โดยพนักงานสอบสวนให้ข้อมูลว่า ได้รับการยืนยันจากหมอฟันว่า สารที่ตรวจพบในร่างกายนายวรยุทธ เป็นยาที่ให้ผู้ต้องหา ในการรักษาฟันที่มีส่วนผสมของสารโคเคนอยู่ ทำให้ไม่สั่งฟ้องในข้อหามีสารเสพติดในร่างกายได้นั้น

กรณีดังกล่าว ทำให้มีทันตแพทย์ต่าง ๆ จำนวนมาก ออกมายืนยันว่า ปัจจุบันไม่มีการใช้สารเสพติดโคเคน ในการรักษาผู้ป่วยแล้ว แต่ยอมรับว่า เคยใช้ โคเคน เป็นยาชา เมื่อประมาณกว่า 100-150 ปีก่อน

ส่วนยาชาที่ใช้ในปัจจุบัน อาทิ ลิโดเคน เมพิวาเคน อะทิเคน ไม่มีทางแปรเปลี่ยนเป็นโคเคนไปได้ แต่การที่ตำรวจเจ้าของสำนวน ทำสำนวนเช่นนั้น ย่อมต้องมีพฤติการณ์พิเศษ เกิดขึ้นแน่นอน แต่ที่ตลกที่สุดคือ พอถูกจับได้ก็ออกมาแถลงแบบเอาสีข้างเข้าถูว่า เป็นแค่การเข้าใจผิด

การโต้แย้งข้อมูล เพื่อสะท้อนความจริงให้สาธารณชนรับรู้ร่วมกันนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่อง ในการสอบสวน และการทำสำนวนคดี ของตำรวจเจ้าของคดี ที่นับวันยิ่งจะชี้ชัดได้ว่า การทำสำนวนคดีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ซึ่งขับรถชนตำรวจชั้นประทวนเสียชีวิตนั้น มีความเป็นอภินิหารทางสำนวนคดีมากมาย ที่ทำให้สังคมไทยได้ล่วงรู้ความจริงมากขึ้น ถึงกระบวนการทำงานของตำรวจไทยและอัยการ

ห้องทำฟันหมายเลข 10

เรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้สาธารณชน ต้องวิพากษ์วิจารณ์ตำรวจ และอัยการ กันอย่างรุนแรง และถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องปฏิรูปตำรวจ และอัยการ กันแบบถอนรากถอนโคนกันเลยทีเดียว ไม่เช่นนั้นกระบวนการยุติธรรมขั้นต้น ที่เริ่มจากตำรวจจนมาถึงชั้นอัยการจะบิดเบี้ยวไปได้ง่าย โดยขาดการตรวจสอบและควบคุม จากประชาชนหรือองค์กรภายนอกที่เป็นอิสระ

ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะนำความทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ตั้งแต่ชั้นตำรวจ จนถึงอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องนั้น มีพฤติการณ์ หรือการกระทำใดของใครบ้าง ที่เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยกัน ของประชาชน และอาจเข้าข่ายการทุจริตต่อหน้าที่ และหรือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 หรือตามที่กฎหมายกำหนด จนข้อหาบางข้อถูกลบหายไป หรือภาษาชาวบ้านว่า “การเป่าคดี”

ทั้งนี้เพื่อให้นำไปสู่การไต่สวนสอบสวนเอาผิด ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งระบบทั้งตำรวจและอัยการ โดยจะเดินทางไปยื่นคำร้องในวันจันทร์ที่ 3 ส.ค.63 เวลา 10.00 น ณ สำนักงาน ป.ป.ช. จ.นนทบุรี

ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในฐานะประธานกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา แถลงผลประชุมนัดที่ 3 ประเด็นพบสารโคเคน หรือ โคเคอีน ในเลือดของนายวรยุทธ ผู้ต้องหา

จากข้อมูลของอดีตพนักงานสอบสวน ชี้แจงว่า แพทย์ได้ทำการเจาะเลือดผู้ต้องหาเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ และผลตรวจออกมาวันที่ 11 กันยายน 2555  โดยแพทย์ผู้ตรวจยืนยันสารที่พบในเลือดของนายวรยุทธ เกิดจากกระบวนการสลายตัวของสาร ที่เกิดจากโคเคนกับแอลกอฮอล์ โดยไม่ได้เป็นการตรวจพบสารโคเคนโดยตรงในเลือด

แพทย์ยังตรวจพบสารอีก 4 ชนิด ในเลือดของนาย วรยุทธ อยู่วิทยา ประกอบด้วย 1.อัลพาโซแลม 2.Benzoylecgonine 3.Cocaethglene และ 4.สารคาเฟอีน โดยสารที่ 1 เป็นสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท อาจมาจากยานอนหลับ ตรวจสารที่ 4 คือสารที่พบในกาแฟ จึงไม่ใช่สารที่เป็นปัญหาในคดีนี้

สำหรับสารที่เป็นปัญหาในคดี คือชนิดที่ 2 และ 3 ที่มาจากการย่อยสลายโคเคน กับแอลกอฮอล์ ซึ่งทางการแพทย์ยืนยันว่าสารชนิดที่ 2. Benzoylecgonine เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท เกิดได้ในร่างกายคน เมื่อเสพโคเคน และจัดเป็นยาเสพติด ส่วนสารชนิดที่ 3.Cocaethglene ไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษ ที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท

พล.ต.อ.ศตวรรษ ระบุว่า ถ้าการตรวจเลือดพบสารชนิดที่ 2 และ 3 ในเลือดก็เท่ากับมีการเสพโคเคน หรือโคเคอีน แต่ในชั้นสอบสวน เมื่อปี 2555 นายวรยุทธ อ้างว่าไปรักษาฟันกับหมอฟัน พนักงานสอบสวนจึงมีการไปสอบปากคำหมอฟัน ซึ่งให้การยืนยันว่า รักษาฟันให้กับผู้ต้องหาจริง แต่ใช้เพียงยาปฏิชีวนะแอมม็อกซี่ ขนาด 500 mg และไม่มีการใช้ยาเสพติดในการรักษา

อย่างไรก็ตาม สารชนิดที่ 2 และ 3 อาจจะมาจากยาปฏิชีวนะ หรือเกิดจากการเสพโคเคนของผู้ต้องหา ซึ่งขณะนี้ยังสรุปไม่ได้ คณะกรรมการ จะสอบเภสัชกร และผู้เชี่ยวชาญด้านยา เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo