Politics

เปิดคำพิพากษาฉบับเต็ม! ‘สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล’ คดีออกพาสปอร์ตให้ ‘ทักษิณ’

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิพากษา “สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล” ผิดออกพาสปอร์ตให้ “ทักษิณ” แต่ศาลเมตตาพิพากษาแก้ให้รอลงอาญา 2 ปี เหตุป่วยหนักหลายโรค – มะเร็งลามไปทั่วร่างกาย

สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
ภาพจากกระทรวงการต่างประเทศ

ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง องค์คณะชั้นวินิจฉัยยอุทธรณ์ ที่ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีการวม 9 คน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาอุทธรณ์ คดีออกหนังสือเดินทางให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยมิชอบ คดีหมายเลขดำ อธ.อม.3/2561 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อายุ 66 ปี อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (รมว.ต่างประเทศ) ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลย ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1

คดีนี้ อัยการสูงสุด ยื่นฟ้องเมื่อเดือนมีนาคม 2560 ภายหลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา ชี้มูลความผิดทางอาญา กับนายสุรพงศ์ อดีต รมว.ต่างประเทศ ที่ได้ลงนามในคำสึ่งออกหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2554 ทั้งที่ขณะนั้นนายทักษิณ ยังเป็นบุคคลที่ถูกออกหมายจับในคดีร่วม นปช.ก่อการร้าย และคดีอาญาอื่น ๆ รวมทั้งคดีที่ศาลมีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี คดีทุจริตซืัอที่ดินย่าน ถ.รัชดาภิเษก แล้ว อันเป็นการกระทำที่ ขัดต่อระเบียบข้อบังคับกระทรวงการต่างประเทศ ว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 (2) (3) และ (4) ทำให้กระทรวงการต่างประเทศ เสียหาย

โดยคดีนี้เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษา โดยองค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมาก เห็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นความผิพกรรมเดียว แต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท

จึงให้ลงโทษตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดโดยให้จำคุกจำเลย 2 ปี เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าการกระทำความผิดของจำเลยมีเจตนาช่วยเหลือ นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลซึ่งหลบหนีให้สามารถเดินทางในต่างประเทศได้สะดวก และเป็นผลบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย จึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ

ต่อมา นายสุรพงษ์ อดีต รมว.ต่างประเทศ จำเลย ได้ยื่นอุทธรณ์คําพิพากษาดังกล่าวต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ซึ่งวันนี้ นายสุรพงษ์ จำเลย ได้เดินทางมาพร้อมกับญาติ คนใกล้ชิด และทนายความ พร้อมฟังคำพิพากษา โดยเดินทางมาถึงศาลฎีกาตั้งแต่เวลา 08.00 น.ก่อนถึงกำหนดนัดอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์เวลา 11.00 น.โดยนายสุรพงษ์ สวมเสื้อผ้าชุดขาวนั่งรถเข็น สวมหน้ากากอนามัย , แว่นตาดำ และหมวกแก๊ป เนื่องจากมีอาการป่วยหนัก ซึ่งในการฟังคำพิพากษานี้ศาลก็ได้จัดชุดเจ้าหน้าที่พยาบาลไว้เพื่อเตรียมความพร้อมกรณีมีเหตุฉุกเฉินด้วย

ขณะที่ องค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ 9 คน พิเคราะห์พยานหลักฐานต่างๆ แล้ว เห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลย ทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงใน 6 ประเด็นนั้นฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษาว่า นายสุรพงษ์ จำเลย มีความผิด

ส่วนที่จำเลยยื่นอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบานั้น องค์คณะฯ เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการขัดขวางกระบวนการยุติธรรมส่วนหนึ่ง เนื่องจากการกระทำนั้นทำให้นายทักษิณ เกิดความสะดวกในการเดินทางไปทางไปต่างประเทศทั้งที่ศาลได้มีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดให้จำคุกในคดีที่ดินรัชดาภิเษก และในขณะนั้นก็มีหมายจับในคดีอื่นๆจาก สตช. ด้วย จึงไม่มีเหตุลดโทษ

ส่วนที่จำเลยขอให้รอการลงโทษนั้น เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์ตามที่จำเลยได้อุทธรณ์ว่าระหว่างพิจารณาคดีได้ส่งผลต่อสุขภาพ จำเลยมีอาการป่วยเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และไขมันในเลือด รวมทั้งมะเร็งซึ่งได้ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองที่คอและท้อง ขณะเดียวกันจำเลยก็มีอายุมากแล้ว จึงเห็นควรให้โอกาส

โดย องค์คณะฯ มีมติเสียงข้างมาก พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 2 ปี โดยโทษจำคุกนั้นรอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี แต่ให้มีโทษปรับในความผิดนี้ด้วยเป็นเงิน จำนวน 100,000 บาท

Avatar photo