นครเซี่ยงไฮ้ของจีนรายงานพบผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มขึ้น 7 ราย ขณะเผชิญกับยอดผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งส่งผลให้ประชาชนหลายล้านคนต้องอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์
คณะกรรมการสุขภาพเซี่ยงไฮ้ เปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตรายใหม่ 7 ราย อายุระหว่าง 60-101 ปี ทุกคนมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน โดยมีอาการทรุดหนักลงหลังจากเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และเสียชีวิต หลังเจ้าหน้าที่พยายามช่วยชีวิตแต่ไร้ผล สาเหตุหลักที่ทำให้เสียชีวิตคือโรคประจำตัว นอกจากนี้ยังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่อีก 20,416 ราย ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ
ทั้งนี้ เซี่ยงไฮ้ประกาศล็อกดาวน์เป็น 2 ระยะ เพื่อตรวจหาเชื้อขนานใหญ่กับคนทั้งเมือง 25 ล้านคน ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา เริ่มจากฝั่งตะวันออกของแม่น้ำหวงผู่เป็นเวลา 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม ตามด้วยฝั่งตะวันตกเป็นเวลา 4 วันหลังจากนั้น
ต่อมาได้ขยายการล็อกดาวน์ออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะยอดติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้น ทำให้ชาวเมืองจำนวนมาก ประสบปัญหาในการจัดหาอาหารสด, สิ่งของจำเป็นขั้นพื้นฐาน และด้านการดูแลสุขภาพ จนออกมาร้องเรียนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เรื่องขาดแคลนอาหาร สถานกักโรคไม่ดี และมาตรการเข้มงวดเกินไป
นายหม่า เสี่ยวเหวย ผู้อำนวยการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (เอ็นเอชซี) ได้เขียนบทความที่ตีพิมพ์ในสื่อของรัฐซึ่งเน้นย้ำว่า จีนจะยังคงดำเนินนโยบายโควิดเป็นศูนย์ต่อไป เพราะหากจีนผ่อนคลายมาตรการควบคุม ประชาชนที่มีโรคประจำตัวรวมทั้งผู้สูงอายุ และเด็กจะเผชิญความเสี่ยง ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
ที่ผ่านมา จีนยืนยันว่า ยุทธศาสตร์ควบคุมโควิดให้เป็นศูนย์ ด้วยการล็อกดาวน์เข้มงวด ตรวจหาเชื้อขนานใหญ่ และกักโรคเป็นเวลานาน ช่วยลดยอดผู้เสียชีวิตและเลี่ยงการเกิดวิกฤติสุขภาพ
ทางการจีนแจ้งยอดติดเชื้อสะสมว่ามากกว่า 188,300 คน เสียชีวิตมากกว่า 4,600 คน แต่บางฝ่ายตั้งข้อสงสัยในตัวเลขเหล่านี้ เนื่องจากผู้สูงอายุในจีน ที่มีจำนวนมากมีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ชาวจีนฉีดวัคซีนป้องกันโควิดครบโดสแล้วเกือบ 1.24 พันล้านคน!!
- ‘เซี่ยงไฮ้’ เร่งระดมตรวจโควิดกว่า 8 ล้านคน ตามแผนคุมระบาดรอบใหม่
- ‘มูดี้ส์’ ชี้นโยบายจีน ‘โควิดเป็นศูนย์’ ทำ ‘วิกฤติซัพพลายเชน’ ยืดเยื้อ