COVID-19

ระวัง ! ‘โอไมครอน BA.2’ สายพันธุ์ใหม่ รุนแรงเกินคาด

แม้ในตอนแรกนั้น จะมีความเชื่อกันว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ สายพันธุ์ โอไมครอน นั้น จะไม่น่ากังวลเท่าใดนัก เพราะแม้จะแพร่เชื้ออย่างรวดเร็ว แต่อาการของผู้ที่ติดเชื้อก็มักจะไม่รุนแรงนัก แต่เมื่อเกิดมีสายพันธุ์ย่อย “โอไมครอน BA.2” และผลวิจัยต่าง ๆ ออกมา ก็ทำให้เกิดความตระหนกกันอีกครั้ง 

รายงานวิจัยที่เผยแพร่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ชี้ว่า สายพันธุ์ BA.2 ทำให้ผู้ติดเชื้อป่วยหนักรุนแรงเท่ากับสายพันธุ์เดลตา ทั้งยังหลบภูมิคุ้มกันที่เกิดจากวัคซีนได้ดี และยาที่ใช้รักษาโควิดอาจต้านไม่ไหว

โอไมครอน BA.2

นพ. ดาเนียล โรดส์ ผู้เชี่ยวชาญชีววิทยา คลินิกคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ สหรัฐ เปิดเผยว่า ผลการตรวจสอบและศึกษา พบว่า สายพันธุ์ BA.2 อาจรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์โอไมครอนดั้งเดิม BA.1 และอาจสามารถแพร่ระบาดดีกว่าเดิม ที่สำคัญทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรงในผู้ที่ได้รับเชื้อ

ขณะที่ ผลการศึกษาของนายเคอิ ซาโตะ นักวิจัยวิทยาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยโตเกียว ญี่ปุ่น พบว่า สายพันธุ์ย่อย BA.2 มีความสามารถในการทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรง ได้ใกล้เคียงกับสายพันธุ์เดลตา ที่มีความรุนแรง ทั้งในแง่อาการ และการเสียชีวิต

นอกจากนี้ ยังสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ที่สำคัญ ยังต่อต้านกับการรักษาด้วยยา Sotrovimab หรือชื่อทางการค้าว่า Xevudy เป็นยารักษาโควิด-19 ด้วยแอนติบอดี ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างบริษัทแกล็กโซสมิธไคลน์ บริษัทยายักษ์ใหญ่ของสหราชอาณาจักร และ วีร์ ไบโอเทคโนโลยี ของสหรัฐ

ทำไม โอไมครอน BA.2 ถึงเป็นสายพันธุ์ล่องหน

เชื้อโอไมครอน BA.2 เป็นเชื้อที่มีความแตกต่างจากสายพันธุ์มาตฐาน (BA.1) โดยนักวิจัยได้พบเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ BA.2 จำนวน 7 เคสในแอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย และแคนาดา

สาเหตุที่ต้องเรียกสายพันธุ์นี้ว่า โอไมครอนสายพันธุ์ล่องหน (Stealth Omicron) เพราะเป็นสายพันธุ์ที่สามารถหลบหลีกการตรวจหาเชื้อโควิด RT-PCR ได้ หรือพูดง่าย ๆ คือ แม้จะตรวจโควิดแล้วพบว่าติดเชื้อ แต่ก็ตรวจสอบไม่ได้ว่า เชื้อตัวนี้ เป็นสายพันธุ์โอไมครอนหรือไม่

แตกต่างจากโอไมครอน สายพันธุ์หลัก ที่มีลักษณะเด่นของการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในโปรตีนหนามสไปค์ S-gene หรือ “S-gene dropout” ที่ปกติแล้วจะสามารถตรวจจับได้ด้วย RT-PCR เพื่อยืนยันได้ว่า ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนจริง ๆ

แต่สำหรับ BA.2 แล้ว ส่วนสำคัญนี้กลับหายไป หรือตรวจไม่พบยีนหนามอย่างที่ควรจะเป็น และแม้จะใช้การตรวจโควิดแบบ RT-PCR ก็ตาม ก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนหรือไม่ ทำให้ผู้ตรวจอาจวินิจฉัยได้ว่า การติดเชื้อในครั้งนี้ อาจเป็นสายพันธุ์เบตา หรือเดลตาแทน ซึ่งก็เท่ากับว่าโอไมครอน BA.2 พยายามจะปลอมตัวเป็นสายพันธุ์อื่นทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่

โอไมครอน BA.2

BA.2 กระจายตัวเร็วกว่าสายพันธุ์มาตรฐาน BA.1

อีกแนวโน้มที่สำคัญคือ BA.2 อาจมีการกระจายตัว และการติดเชื้อได้ไวกว่า BA.1  เห็นได้จากในหลาย ๆ ประเทศ ที่พบว่าขณะนี้การติดเชื้อไวรัสโควิด สายพันธ์โอไมครอน BA.1 เริ่มลดน้อยลง ในขณะที่ BA.2 กลับเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ดี เหล่านักวิจัย กล่าวว่า ยังเป็นเรื่องที่เร็วเกินไปหากจะระบุให้แน่ชัดว่าสายพันธุ์ย่อยใหม่ของโอไมครอนนี้ จะแพร่กระจายในลักษณะเดียวกันกับโอไมครอนสายพันธุ์มาตรฐานหรือไม่ บอกได้เพียงว่า มีความแตกต่างทางพันธุกรรมในบางจุด ที่อาจส่งผลต่อวิธีการทำงาน หรือวิธีแพร่เชื้อ

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ไวรัส 2 สายพันธุ์นี้ BA.1 และ BA.2 อาจไม่แตกต่างกันมากนัก แต่หากเมื่อไหร่ที่ BA.2 วิ่งได้ไวกว่า BA.1 ก็จะยิ่งเสริมให้นักวิจัยสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างได้ง่ายขึ้น

กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ บอกด้วยว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และแม้ว่าในตอนนี้จะยังนับ BA.2 ว่าเป็นสายพันธุ์โอไมครอน แต่ด้วยความแตกต่างที่มีมากอย่างเห็นได้ชัด ในอนาคต BA.2 อาจกลายเป็น “สายพันธุ์ที่น่ากังวลตัวใหม่” ก็ได้ หากพบว่าศักยภาพในการแพร่กระจายและความรุนแรงของเชื้อมีมากขึ้นกว่าสายพันธุ์เดิม

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo