COVID-19

รายงานเผย ‘โควิด-19 กลายพันธุ์’ กำลังระบาดทั่ว ‘สวีเดน’

รายงานเผย “โควิด-19 กลายพันธุ์” กำลังระบาดทั่ว “สวีเดน” บางพื้นที่ผู้ป่วยพุ่งแค่ข้ามคืน เสี่ยงคุมไวรัสระบาดยากขึ้น

สถานีโทรทัศน์สวีดิช เทเลวิชัน (SVT) รายงานว่ามีการพบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ชนิดกลายพันธุ์ ในเทศมณฑล 20 แห่ง จากทั้งหมด 21 แห่งของประเทศสวีเดน

สวีเดน โควิด 19

สำนักงานสาธารณสุขสวีเดน (PHA) ระบุว่า สวีเดนมีรายงานพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ เพิ่ม 423 รายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ปริมาณผู้ที่มีไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์นั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด เนื่องจากมีผลทดสอบเป็นบวกส่วนน้อยเท่านั้นที่ถูกนำไปจำแนกเพื่อหาไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์

ขณะเดียวกัน การตรวจแบบสุ่มที่ทำใน 4 เทศมณฑล ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์เผยว่า ไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ที่ค้นพบครั้งแรกในสหราชอาณาจักร ซึ่งสามารถติดต่อได้ง่ายขึ้นนั้น คิดเป็น 9-20% ของไวรัสฯ ที่พบทั้งหมด

สถานีโทรทัศน์ฯ รายงานว่า หนึ่งในเทศมณฑลที่ไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์มีแนวโน้มระบาดมากที่สุดคือเทศมณฑลแยฟเลบอร์ก (Gavleborg) บนชายฝั่งทะเลบอลติก

ชาห์ จาลาล แพทย์ผู้ควบคุมการติดเชื้อของเทศมณฑลแยฟเลบอร์กกล่าวกับสถานีโทรทัศน์ฯ ว่า เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แยฟเลบอร์กมีรายงานพบผู้ป่วยโรค โควิด-19 เพิ่ม 99 ราย แต่ภายในคืนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 จำนวนผู้ป่วยกลับพุ่งถึง 160 ราย

แม้ว่าจะยังเร็วไปที่จะด่วนสรุป แต่มีสัญญานบ่งชี้ว่าจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่กำลังเพิ่มขึ้นในแยฟเลบอร์ก

get 21 10

ทั้งนี้ สวีเดนยังมีรายงานพบผู้ป่วยจำนวนน้อยส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ โควิด-19 กลายพันธุ์ ที่พบครั้งแรกในแอฟริกาใต้ด้วยเช่นกัน แต่ไม่มีรายงานพบผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ที่พบครั้งแรกในบราซิล

เมื่อที่ 15 กุมภาพันธ์ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งยุโรป (ECDC) ได้ตีพิมพ์ผลการประเมินความเสี่ยงฉบับล่าสุด ซึ่งเน้นถึงอันตรายของไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์เหล่านี้

รายงานดังกล่าวระบุว่า ไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ที่พบครั้งแรกในสหราชอาณาจักร ได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในไอร์แลนด์ นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ที่พบครั้งแรกในแอฟริกาใต้ ยังมีจำนวนเพิ่มขึ้นในเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA) ขณะที่ผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ที่พบครั้งแรกในบราซิล มีรายงานพบเป็นส่วนน้อยเท่านั้น นับถึงปัจจุบัน

ศูนย์ฯ เตือนว่า เมื่อไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์ระบาดเป็นวงกว้างมากขึ้น โรคโควิด-19 อาจจะควบคุมได้ยากยิ่งขึ้น

 

J&J ชี้อาจต้องฉีด “วัคซีน โควิด-19” ทุกปี

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายอเล็กซ์ กอร์สกี้ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) ได้แสดงความคิดเห็นว่า เป็นเรื่องโชคร้ายที่ ระหว่างการระบาดออกไปนั้นเชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถกลายพันธุ์ได้

“ทุกครั้งที่เกิดการกลายพันธุ์ ก็เหมือนกับการกดเบอร์โทรศัพท์ใหม่ ที่จะได้ข้อมูลใหม่กลับมา ซึ่งก็เหมือนกับเราได้เห็นการกลายพันธุ์ใหม่ เป็นการกลายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ  ซึ่งอาจทำให้เกิดความสามารถในการต่อต้านภูมิคุ้มกัน หรือมีการตอบสนองที่แตกต่างออกไป ไม่ใช่ต่อการรักษาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัคซีนด้วย”

โควิด-19 กลายพันธุ์ J&J

นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดออกมาให้ความเห็นว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ โควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งหมายถึงโรคที่มีการแพร่ระบาดอยู่ในพื้นที่ตลอดเวลา ถึงแม้คาดว่า น่าจะมีการแพร่ระบาดในวงแคบกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ ระบุด้วยว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขต้องเฝ้าระวังเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักวิจัยสามารถผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันได้

ทั้งนี้ นายกอร์สกี้ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ หลัง J&J ประกาศว่า ได้ยื่นขอรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐ สำหรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ J&J เป็นกรณีเร่งด่วนแล้ว โดยวัคซีนโควิดของ J&J นั้นเป็นประเภทฉีดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องฉีดซ้ำอีกครั้งหนึ่งในอีก 3-4 สัปดาห์ให้หลัง เหมือนกับวัคซีนของไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ซึ่งทำให้สะดวกต่อการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ให้บริการสาธารณสุข

ผลการทดสอบทางคลินิค แสดงให้เห็นว่า วัคซีนโควิดของ J&J มีประสิทธิภาพในการป้องกันราว 66% สำหรับกลุ่มคนที่มีอาการปานกลาง และอาการหนัก โดยมีประสิทธิภาพ 85% ที่ช่วยให้ไม่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และ 100% ในการป้องกันการเสียชีวิต ในทุกภูมิภาค ที่บริษัทดำเนินการทดลองวัคซีนตัวนี้

นอกจากนี้ยังนำไปทดสอบกับเชื้อไวรัส โควิด-19 กลายพันธุ์ด้วย โดยให้ผล 57% สำหรับการกลายพันธุ์ สายพันธุ์แอฟริกาใต้ และ 66% ต่อการกลายพันธุ์ที่พบในลาตินอเมริกา

ที่มาสำนักข่าวซินหัว

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo