ครั้งที่ 4! ‘สหรัฐ’ ถล่มฐานยิงขีปนาวุธ ‘ฮูตี’ เดินหน้าปกป้อง ‘ทะเลแดง’

โดย The Bangkok Insight Editorial Team 19 มกราคม 2567

“สหรัฐ” เดินหน้าถล่ม “กลุ่มฮูตี” โจมตีทางอากาศครั้งที่ 4 ต่อฐานยิงขีปนาวุธในเยเมน ยัน มีการบรรจุพร้อมยิง 14 ลูก เป็นภัยคุกคามต่อเรือขนส่งพาณิชย์ และเรือของกองทัพเรือสหรัฐในภูมิภาค

กองบัญชาการภูมิภาคเอเชียกลาง และตะวันออกกลาง หรือ เซนต์คอม (CENTCOM) แถลงว่า กองทัพสหรัฐได้ทำการโจมตีทางอากาศเข้าใส่ขีปนาวุธ 14 ลูกของกลุ่มฮูตี ทางตะวันตกของเยเมน โดยขีปนาวุธทั้งหมดถูกบรรจุไว้ในลำกล้องเพื่อเตรียมยิงแล้ว และเป็นภัยคุกคามที่จวนตัว ต่อเรือขนส่งพาณิชย์ และเรือของกองทัพเรือสหรัฐในภูมิภาค

พล.อ.ไมเคิล เอริค คูริลลา ผู้บัญชาการเซนต์คอม กล่าวว่า การกระทำของผู้ก่อการร้ายฮูตี ที่มีอิหร่านหนุนหลังนั้น ยังคงสร้างอันตรายให้กับผู้เดินเรือระหว่างประเทศ และก่อกวนเส้นทางการเดินเรือพาณิชย์ในพื้นที่ทางใต้ของทะเลแดง และเส้นทางน้ำอื่น ๆ ที่อยู่ติดกัน

“เราจะเดินหน้าทำการต่าง ๆ เพื่อปกป้องชีวิตของนักเดินเรือผู้บริสุทธิ์ และเราจะปกป้องผู้คนของเราเสมอ”

วีโอเอ รายงานว่า การโจมตีโดยตรงเข้าใส่กลุ่มฮูตีครั้งนี้ของสหรัฐนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว หลังเคยทำการแบบเดียวกัน ทั้งโดยตนเอง และร่วมกับกองทัพอังกฤษ เพื่อตอบโต้การโจมตีต่าง ๆ และเพื่อต่อต้านภัยคุกคามที่เรือพาณิชย์ทั้งหลายในทะเลแดงต้องเผชิญ

การโจมตีดังกล่าว ยังเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังมีการยิงโดรนจากพื้นที่ในเยเมน ที่กลุ่มฮูตีควบคุมอยู่ เข้าใส่เรือ Genco Picardy ที่เป็นของสหรัฐ แต่ติดธงหมู่เกาะมาร์แชลล์ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่อ่าวเอเดน ซึ่งบริษัทผู้ดูแลเรือลำที่ว่ารายงานว่า ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีครั้งนี้ และตัวเรือได้รับความเสียหายเล็กน้อย

ที่ผ่านมา กลุ่มฮูตีระบุว่า กระทำการต่าง ๆ เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับชาวปาเลสไตน์ ท่ามกลางภาวะสงครามระหว่างอิสราเอล และกลุ่มฮามาส โดยกลุ่มติดอาวุธนี้ได้ทำการโจมตีใส่เรือต่าง ๆ ที่แล่นผ่านทะเลแดงกว่า 30 ครั้ง นับตั้งแต่สงครามในฉนวนกาซาปะทุขึ้น

ทั้งนี้ กลุ่มฮูตียึดกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมน และบีบรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ให้ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศเมื่อปี 2557 ก่อนที่ ซาอุดีอาระเบียจะนำกลุ่มพันธมิตร เปิดปฏิบัติการที่มีสหรัฐหนุนหลัง เข้าจัดการกับกลุ่มดังกล่าวเมื่อต้นปี 2558 ความขัดแย้งที่ทำให้ประชาชนกว่า 150,000 คนเสียชีวิต และทำให้เยเมนเข้าสู่ภาวะวิกฤติด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของโลก