World News

กังวลตะวันออกกลาง ดัน ราคาน้ำมัน WTI พุ่ง 4% ทะลุ 86 ดอลลาร์

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส อินเตอร์มีเดียท (WTI) ปิดซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ ของสหรัฐ เมื่อวานนี้ (9 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น พุ่งกว่า 4% จากกระแสคาดการณ์ว่า การสู้รบ “อิสราเอล-ฮามาส”ทำให้ตะวันออกกลางตรึงเครียดขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการน้ำมันในตลาดโลก

ราคาน้ำมันดิบ WTI กำหนดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 3.59 หรือ 4.3% ปิดที่ 86.38 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) กำหนดส่งมอบเดือนธันวาคม ราคาเพิ่มขึ้น 3.57 ดอลลาร์ หรือ 4.2% ปิดที่ 88.15 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมัน

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง จะเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน อย่างน้อยก็ในระยะสั้นนี้ และหากมีหลักฐานบ่งชี้ว่า อิหร่านอยู่เบื้องหลังการสนับสนุนให้กลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอล จนเป็นเหตุให้อิสราเอลทำการตอบโต้น ก็อาจจะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นทะลุระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ขณะที่ นักวิเคราะห์ด้านพลังงานของธนาคารคอมมอนเวลธ์ ระบุในรายงานว่า เหตุการณ์สู้รบระหว่างอิสราเอล กับกลุ่มฮามาส จะเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันให้พุ่งขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น

“การที่ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและอย่างยาวนาน เหตุการณ์ความขัดแย้งนี้จะต้องกระทบต่อการขนส่งน้ำมัน และทำให้ปริมาณน้ำมันลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสยังไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อแหล่งผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก”

“ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ปฏิกริยาที่หนุนราคาน้ำมันมักเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว และมักถูกบดบังจากปัจจัยอื่น”

ทั้งนี้ อิสราเอลและปาเลสไตน์ต่างก็ไม่ใช่ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ โดยอิสราเอลมีโรงกลั่นน้ำมันเพียง 2 โรง ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกันราว 300,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่ปาเลสไตน์ไม่มีการผลิตน้ำมัน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo