ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ของสหรัฐ ซื้อขายช่วงเช้าวันนี้่ (15 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น โดยที่ “ดาวโจนส์” ทะยานเกือบ 300 จุด ท่ามกลางข้อมูลที่บ่งชี้มากขึ้นว่า “เงินเฟ้อ” เริ่มชะลอตัวลง ทำให้นักลงทุนคาดการณ์กันมากขึ้นว่า “เฟด” จะขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่น้อยลง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 33,804.19 จุด ทะยานขึ้นมา 267.49 จุด หรือ 0.80% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 4,013.98 จุด ปรับขึ้น 56.73 จุด หรือ 1.43% และดัชนีแนสแด็กที่ 11,433.43 จุด พุ่งขึ้น 237.21 จุด หรือ 2.12%
วันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐ เผยข้อมูลดัชนีราคาผู้ผลิต (พีพีไอ) ที่พุ่งขึ้น 8% ในช่วง 12 เดือน นับถึงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา น้อยกว่าที่ประเมินกันไว้ว่า จะปรับขึ้น 8.3% และหากไม่นับรวมราคาพลังงาน และอาหารที่มีความผันผวนสูงแล้ว ดัชนีปรับขึ้น 5.4% ต่อปี ในเดือนตุลาคม หลังเพิ่มขึ้น 5.6% ในเดือนกันยายน
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ข้อมูลดังกล่าว ยิ่งทำให้ตลาดมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่า อัตราเงินเฟ้อ เริ่มที่จะปรับลดลงมาแล้ว ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยในระดับที่ลดลง
ล่าสุด เทรดเดอร์ให้น้ำหนักมากถึง 85.4% ว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ จากเดิมที่ให้น้ำหนักไว้ 80.6%
ตลาดยังได้แรงหนุนขาขึ้น จาก “เงินดอลลาร์” ที่อ่อนค่าลง และการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์ จะช่วยเพิ่มกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้จากต่างประเทศ ส่วนการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลกนั้น จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น และช่วยลดต้นทุนการชำระหนี้ของบริษัทต่าง ๆ ทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถเพิ่มการลงทุน และเพิ่มการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ไอเอ็มเอฟ’ หั่นคาดการณ์เศรษฐกิจโลก ปี 66 โตเพียง 2.7% ‘อาเซียน 5’ ขยายตัว 4.9% เตือนเศรษฐกิจถดถอย
- ‘ยูเอ็นดีพี’ เตือน ‘ประเทศกำลังพัฒนา’ กำลังเจอวิกฤติหนี้ ชี้ต้องเร่งหามาตรการช่วยเหลือทันที
- ผู้เชี่ยวชาญชี้ ‘ค่าเงินเอเชีย’ อ่อนค่าลงอีก หลัง ‘เฟด’ ขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง