ตลาดหุ้นสหรัฐ ซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (30 ก.ค.) ปรับตัวลดลง ท่ามกลางแรงเทขายหุ้นยักษ์อีคอมเมิร์ซ อย่าง “อเมซอน” หลังบริษัทรายงานผลประกอบการที่สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน ทั้งยังเจอกับแรงกดดัน จากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กลับมาพุ่งสูงอีกครั้ง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 34,954.82 จุด ร่วงลง 129.71 จุด หรือ 0.37% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 4,399.26 จุด ลดลง 19.89 จุด หรือ 0.45% และดัชนีแนสแด็กที่ 14,689.89 จุด ปรับลงมา 88.37 จุด หรือ 0.60%
ในช่วงแรกของการซื้อขาย ดาวโจนส์สามารถปรับตัวในแดนบวก ขณะที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ หลังจากที่สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่ต่ำกว่าคาด
นอกจากนี้ การที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่ต่ำกว่าคาดการณ์เมื่อวานนี้ ก็ได้ช่วยให้ตลาดคลายความวิตกเกี่ยวกับการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)
อย่างไรก็ดี แรงเทขายหุ้น อเมซอน อย่างหนัก จนทำให้ราคาหุ้นร่วงไปแล้วกว่า 7% กลายเป็นตัวฉุดขาลงของดัชนีหลัก ๆ ในตลาด โดยอเมซอน รายงานรายได้ในไตรมาส 2 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ตลาดยังกังวลกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด สายพันธุ์เดลตา จากการที่ นพ.สก็อตต์ ก็อตลิบ อดีตประธานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) กล่าวว่า ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ มีจำนวนมากกว่าตัวเลขที่เจ้าหน้าที่รายงานอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา
“ผมจะไม่ประหลาดใจถ้าหากเราพบว่าผู้ติดเชื้อรายวันมีจำนวนถึง 1,000,000 คนในขณะนี้ ซึ่งตัวเลขทางการรายงานไม่ถึง 10% ของตัวเลขผู้ติดเชื้อที่แท้จริง” นพ.ก็อตลิบกล่าว
ทั้งนี้ ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ระบุว่า ค่าเฉลี่ยในรอบ 7 วันของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันในสหรัฐอยู่ที่ 67,000 คน โดยเพิ่มขึ้น 53% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้านี้
นพ.ก็อตลิบ เสริมว่า ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวนมากไม่ได้ถูกรวมอยู่ในรายงานของทางการ เนื่องจากผู้ป่วยโควิด ที่ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการน้อย ต่างก็ไม่ได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อ และการที่ประชาชนสามารถซื้ออุปกรณ์มาตรวจหาเชื้อได้เองในบ้าน ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อดังกล่าวไม่มีการรายงานต่อเจ้าหน้าที่
ทางด้านศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ (CDC) ออกเอกสารเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ โดยได้เตือนว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาสามารถติดต่อได้ง่ายเหมือนโรคอีสุกอีใส และมีช่วงเวลาในการแพร่ระบาดยาวนานกว่าไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม
CDC ระบุว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ซึ่งขณะนี้มีการแพร่ระบาดใน 132 ประเทศทั่วโลก และได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐ สามารถแพร่ระบาดรวดเร็วกว่าไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ไข้หวัดสเปน ไข้ทรพิษ เชื้ออีโบล่า โรคซาส์ (SARS) และโรคเมอร์ส (MERS)
ทั้งนี้ มีเพียงโรคหัด (measles) เท่านั้นที่มีการระบาดได้เร็วกว่าไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ ดีดตัวขึ้น 3.5% ในเดือนมิถุนายน เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2534 อย่างไรก็ดี ดัชนี PCE พื้นฐานดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.6% หลังจากเพิ่มขึ้น 3.4% ในเดือนพฤษภาคม
เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนที่แล้ว ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.6%
ส่วนดัชนี PCE ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ดีดตัวขึ้น 4.0% ในเดือนมิถุนายน เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551 หลังจากเพิ่มขึ้น 3.9% ในเดือนพฤษภาคม
ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จากกระทรวงแรงงานสหรัฐ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘แคลิฟอร์เนีย’ จ่อเปิดเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ หากโควิด-19 คงที่
- ยกการ์ดให้สูง!! โควิดรอบใหม่กระทบหนัก คาดทุบเศรษฐกิจแสนล้าน
- SET Index สิ้นไตรมาสแรกกลับมาเท่าก่อนโควิด นักลงทุนปรับพอร์ต’หุ้นดี ราคาถูก’