ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และฟุตซี่ รัสเซล (FTSE Russell) ได้มีการประกาศผลการทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ชุดใหม่ที่จะใช้ในการคำนวณของดัชนี FTSE SET Index Series ซึ่งจะมีผลในวันที่ 19 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป โดยหุ้นที่เข้าคำนวณในแต่ละดัชนีจะมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
– ดัชนี FTSE SET Large Cap Index มี 2 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าร่วมคำนวณ
– ดัชนี FTSE SET Mid Cap Index มี 8 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าร่วมคำนวณ
– ดัชนี FTSE SET Shariah Index มี 19 หลักทรัพย์ใหม่ที่เข้าร่วมคำนวณ
อย่างไรก็ดี จุดที่น่าสนใจมากที่สุดนั่นคือดัชนีหลักอย่าง FTSE SET Large Cap Index ซึ่งมี 2 หุ้นใหญ่จากเครือซีพีเข้าคำนวณ ได้แก่ หุ้น MAKRO หรือ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) และหุ้น TRUE หรือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
แน่นอนว่าจะส่งผลบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อ MAKRO และ TRUE อย่างแน่นอน เนื่องด้วย FTSE SET Large Cap Index ถือเป็นดัชนีซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้ลงทุนสถาบันต่างชาติ และถูกนำมาใช้เป็นดัชนีอ้างอิงสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ เช่น กองทุน ETF, ตราสารทางการเงินที่อ้างอิงดัชนี รวมไปถึงเป็นดัชนีอ้างอิง Benchmark สำหรับลงทุนในกองทุนรวม
ขณะเดียวกันการที่ FTSE เป็นบริษัทอิสระที่จัดทำดัชนีในระดับสากล ตลอดจนมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการจัดทำดัชนีให้ตลาดหุ้นหลายแห่งทั่วโลก เพราะฉะนั้น หุ้นที่คำนวณใน FTSE ก็จะถูกนำไปใช้วิเคราะห์การลงทุน วัดผลประกอบการ จัดการสินทรัพย์ และสร้างกองทุนอ้างอิงดัชนี
ส่องแนวโน้มผลประกอบการ MAKRO-TRUE
สำหรับ MAKRO ทางนักวิเคราะห์ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ เปิดเผยว่า การดำเนินงานของบริษัทถือว่าดีขึ้นตามคาด จากยอดขายสาขาเดิมและมาร์จินที่ดีขึ้นของธุรกิจ B2B จากการมียอดขายสินค้ากลุ่มอาหารสดและ private brand จึงคาดว่าผลกําไรในช่วงไตรมาส 2/2566 จะเติบโต YoY
ส่วนผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล เมื่อพิจารณานโยบายค่าแรงและค่าไฟฟ้าของพรรคก้าวไกล ประเมินว่ามีผลกระทบต่อกําไรของ MAKRO จํากัด เนื่องจากกําไรที่จะลดลง 1 พันล้านบาท จากการขึ้นค่าแรงขั้นตํ่า จะถูกชดเชยโดยกําไรที่จะเพิ่มขึ้น 800 ล้านบาทต่อปี จากการลดค่า Ft นอกจากนี้ ยังไม่รวมยอดขายที่น่าจะเพิ่มขึ้นจากกําลังซื้อที่สูงขึ้นของกลุมผู้มีรายได้ตํ่า
ดังนั้น จึงยังคงให้คำแนะนำ OUTPERFORM สําหรับหุ้น MAKRO ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ระดับ 46 บาทต่อหุ้น
ด้าน TRUE บทวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ได้อัปเกรดคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 7.6 บาทต่อหุ้น เพราะมองว่าตลาดมีความกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการปี 2566 และความเสี่ยงจากการยกเลิกการผูกขาด
โดยคาดว่าผลขาดทุนหลักรายไตรมาสจะค่อย ๆ ลดลงตั้งแต่ไตรมาส 2/2566 เนื่องจาก ARPU ฟื้นตัวและค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างทรงตัว ส่วนประเด็นความเสี่ยงของการยกเลิกการควบรวมกิจการระหว่าง TRUE และ DTAC อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากไม่มีกรณีเช่นนี้มาก่อน ส่วนปัจจัยที่จะหนุนราคาหุ้น ได้แก่ การประกาศเป้าหมายการสร้างมูลค่า synergy และความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่
อ่านข่าวเพิ่มเติม