Stock

คัด 12 หุ้น ‘Top pick’ สำหรับปี 2566

ปี 2566 คาดว่าจะเป็นปีที่สดใสของตลาดหุ้นไทย จากแนวโน้มผลประกอบการหุ้นไทยปีนี้ ให้ผลตอบแทนรวมที่มากกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศ หลัก ๆ มาจากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว และกองทุนต่างชาติที่กลับเข้ามาซื้อหุ้นไทย แม้ภาคการผลิตอาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอยู่บ้าง

บล. เกียรตินาคินภัทร ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์หุ้น Top pick 12 ตัว สำหรับปี 2566 คัดเลือกจากกลุ่มธุรกิจที่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนได้ดีที่สุด ได้แก่ โรงพยาบาล อาหาร ค้าปลีก โรงไฟฟ้า บรรจุภัณฑ์ สี ธนาคารขนาดใหญ่ ท่องเที่ยว และพลังงาน โดยมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้

shutterstock 2088647491 1

SCGP หรือ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน)
แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 60 บาทต่อหุ้น
คาดกำไรพลิกฟื้น ขณะที่ราคาหุ้นก็ได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และต้นทุนกระดาษรีไซเคิลที่ปรับตัวลดลง

CPALL หรือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 69 บาท
ธุรกิจหลักได้รับผลดีชัดเจนจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้น และคาดกำไรปี 2565 เติบโต 58% ส่วนปี 2566 เติบโต 33%

TOA หรือ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 38.30 บาท
คาดกำไรเติบโตกว่า 24% ระหว่างปี 2566 จนถึงปี 2567 เพราะต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลง รวมถึงยอดขายที่ฟื้นตัวดีขึ้น

308062869 137995885613345 2594849458476880424 n

TOP หรือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 74.40 บาท
ธุรกิจปิโตรเลียมและโรงกลั่นมีแนวโน้มเติบโตดี นอกจากนี้ ราคาหุ้น TOP มีความน่าสนใจที่สุดในกลุ่ม

GFPT หรือ บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน)
แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 20 บาท
ปัจจัยบวกจากธุรกิจแปรรูปโปรตีนที่ขยายตัว ประกอบกับเงินเฟ้อด้านอาหารจะช่วยหนุนให้บริษัทเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว

RATCH หรือ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 53 บาท
ระดับการจ่ายปันผลน่าสนใจ เนื่องจากสัญญาซื้อขายไฟระยะยาวกับการไฟฟ้าและความสามารถในการส่งผ่านต้นทุนของบริษัท

PR9 หรือ บริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน)
แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 19 บาท
การปรับปรุงโรงพยาบาลเป็นระดับเฟิร์สคลาส คาดว่าจะส่งผลให้กำไรของบริษัทเติบโตแข็งแกร่ง

MINT หรือ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 40 บาท
ธุรกิจฟื้นตัวดีตามการท่องเที่ยว จึงคาดว่ากำไรจะเติบโตจาก 2,200 ล้านบาท เป็น 6,500 ล้านบาทในปี 2566

shutterstock 1456070348

ADVANC หรือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)
แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 236 บาท
อัตราการจ่ายปันผลน่าสนใจที่ระดับ 4.4% จากราคาหุ้นที่ปรับลดลงถึง 19% เป็นผลจากการแข่งขันของอุตสาหกรรมที่รุนแรง

BANPU หรือ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)
แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 16 บาท
ราคาหุ้น BANPU มี Valuation น่าสนใจ โดยแนวโน้มราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติสดใส รวมทั้งความเสี่ยงและความกังวลต่อแผนการเพิ่มทุนลดลง

BBL หรือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 150 บาท
คาดว่าธนาคารกรุงเทพจะทำกำไรโดดเด่นสุดในกลุ่มธนาคาร จากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งและราคาหุ้นยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ

CHG หรือ บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน)
แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.40 บาท
ประเมินกำไรกลับมาเติบโตเกือบ 20% ในปี 2567 หนุนโดยจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีแผนเพิ่มจำนวนเตียงอีก 12% ต่อปี

ถือว่าเป็นปีที่นักลงทุนให้น้ำหนักกับตลาดหุ้นไทยกันมากขึ้น โดยเฉพาะกลยุทธ์คัดเลือกหุ้นแบบ Defensive อย่างไรก็ดี การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและพิจารณาเงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo
แชร์วิธีคิด แบ่งปันความรู้ การเงิน การลงทุน