Personal Finance

มนุษย์เงินเดือนอ่านด่วน!! วางแผนลดหย่อนภาษีอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด

มนุษย์เงินเดือนอ่านด่วน!! วางแผนลดหย่อนภาษีอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด ย้ำ!! การวางแผนภาษี ไม่ใช่การเลี่ยงภาษี หรือหนีภาษี แต่เราจะใช้สิทธิที่กฎหมายให้ประโยชน์อย่างเต็มที่

ทุกคนที่มีรายได้ต้องวางแผนภาษี เพราะเป็นหน้าที่ตามกฎหมายกำหนดไว้ โดยวัตถุประสงค์ของการวางแผนภาษี คือ การเตรียมการเพื่อเสียภาษีให้ถูกต้อง ครบถ้วนในฐานะพลเมืองดี และใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่าง ๆ ที่กฎหมายกำหนดไว้ไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปี เพื่อบรรเทาภาระภาษีให้น้อยลง ไม่ต้องเสียภาษีมากจนเกินไป รวมถึงไม่ต้องชำระภาษีเพิ่มหรือเสียเบี้ยปรับโดยใช่เหตุ

ลดหย่อนภาษี

ในการวางแผนภาษีนั้น เราไม่ได้จะเลี่ยงภาษี หรือหนีภาษีแต่อย่างใด แต่เราจะใช้สิทธิที่กฎหมายให้ประโยชน์เราอย่างเต็มที่ เช่น ดอกเบี้ยผ่อนบ้าน การเลี้ยงดูพ่อแม่และบุตร การซื้อประกันชีวิต การลงทุนในกองทุนรวม และการบริจาคต่าง ๆ

สิทธิประโยชน์เหล่านี้ ทางภาครัฐต้องการกระตุ้นให้เกิดการออม จูงใจให้ประชาชนได้ออมเงิน เมื่อเค้าจัดมาให้ เราก็ควรจะใช้สิทธิให้เต็มที่ ดังนั้นเรามาเรียนรู้เรื่องภาษีกันสักหน่อย

เงินได้พึงประเมิน คือ รายได้ทั้งหมดทั้งปีของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

สมมติว่า นายหลักแหลม มีเงินเดือนเดือนละ 28,000 บาท และปีนั้นนายหลักแหลมได้โบนัส 50,000 บาท

เงินได้พึงประเมินของนายหลักแหลมในปีนั้นคือ

28,000 x 12 = 336,000 รวมกับโบนัส 50,000 กลายเป็น 386,000 บาท

ตามสิทธิทางกฎหมายแล้ว นายหลักแหลม มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ที่สามารถนำมาหักภาษีได้

  • สามารถหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวได้ 50% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท

นายหลักแหลม มีเงินได้พึงประเมิน 386,000 บาท 50% ของเงินจำนวนนี้คือ 193,000 บาท ซึ่งเกิน 100,000 บาท ดังนั้น สรุปว่า นายหลักแหลม สามารถหักค่าใช้จ่ายของตัวเองได้ 100,000 บาท

เรามาดูค่าลดหย่อนกันบ้าง ปี 2566 เราใช้อะไรลดหย่อนภาษีได้บ้าง?

ลดหย่อนภาษี
ภาพจาก www.scb.co.th

สูตรการคำนวณภาษี

เงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษี = เงินได้พึงประเมิน-ค่าใช้จ่าย-ค่าลดหย่อนต่าง ๆ

สรุปแล้วภาษีที่บุคคลจะต้องเสียต่อปี คำนวณจาก เงินได้สุทธิ ทีนี้เรามาลองคำนวณหาเงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษี จากกรณีของ นายหลักแหลม กันดู

นายหลักแหลม มีเงินได้พึงประเมิน 386,000 บาท ไม่มีภาระใด ๆ และทำประกันสังคมไว้ ถ้านายหลักแหลมไม่มีการวางแผนภาษีเอาไว้ จะต้องเสียภาษีอย่างไร?

เงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษี = 386,000-100,0000-60,000-9,000 = 217,000 บาท

ลดหย่อนภาษี
ภาพจาก www.scb.co.th

0 – 150,000 บาท ได้รับยกเว้นภาษี

ต่อมาที่ขั้น 5% ส่วนที่นายหลักแหลมต้องเสียภาษีคือ 217,000 – 150,000 = 67,000 บาท

5% ของ 67,000 บาท = 3,350 บาท

ถ้ามีการวางแผนภาษี

ถ้านายหลักแหลมไม่อยากเสียภาษีเลย ต้องหาค่าลดหย่อนมาอีก 67,000 บาท เพื่อลดเงินได้สุทธิของตัวเองลง มาดูกันว่า นายหลักแหลมมีสิทธิซื้อสินค้าการเงินอะไรได้บ้าง และเท่าไหร่ เพื่อหักลดหย่อนภาษี เช่น นายหลักแหลมสนใจลงทุนใน SSF รายได้ต่อปีของนายหลักแหลมอยู่ที่ 386,000 บาท มีสิทธิซื้อ SSF ได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมินเท่ากับว่าจะสามารถซื้อ SSF 30% ของ 386,000 บาท ซึ่งก็คือ 115,800 บาท ดังนั้นนายหลักแหลมสามรถซื้อ SSF ได้ทั้งสิ้น 67,000 บาท เราลองมาดูกันว่าหากนายหลักแหลมซื้อ SSF แล้ว ภาษีที่ต้องจ่ายเป็นอย่างไร?

เงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษี = 386,000-100,0000-60,000-9,000-67,000 = 150,000 บาท

0 – 150,000 บาท ได้รับยกเว้นภาษี

เท่ากับว่านายหลักแหลมไม่ต้องเสียภาษีเพิ่ม ทำให้ประหยัดภาษีไปได้ 3,350 บาท

เงินภาษีที่ประหยัดได้ ทำให้ นายหลักแหลม มีเงินออมในกระเป๋ามากขึ้น หรือจะนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนต่อก็ได้ และได้มีการกันเงินออม (67,000 บาท) ไปลงทุนในกองทุน SFF มาหนึ่งกอง ซึ่งนายหลักแหลมสามารถนำกองทุนนี้ไปเป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนเกษียณอายุ หรือวางแผนการเงินเพื่อเป้าหมายอื่นๆ ต่อได้ด้วย เท่ากับว่าการวางแผนภาษีที่ดี เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัวเลย ดังนั้นจะรอช้าอยู่ทำไม รีบมาวางแผนภาษีกันเถอะ

บทความโดย : นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP®, ACC นักวางแผนการเงินอิสระ และ ธนาคารไทยพาณิชย์

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo
Siree Osiri OHO BANGKOK