Finance

จับตา ‘ราคาทองคำ’ ปี 2567 พุ่งทุบสถิติ รับ สหรัฐลดดอกเบี้ย-ขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์

นักลงทุนคาด ราคาทองคำจะพุ่งทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2567 แรงหนุนจากความเป็นไปได้ที่ดอกเบี้ยสหรัฐจะลดต่ำลง ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีอยู่ และการเข้าซื้อทองของบรรดาธนาคารกลางทั่วโลก

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำได้พุ่งทำสถิติใหม่มาอย่างต่อเนื่อง และบรรดาผู้เชี่ยวชาญ ต่างคาดว่า ในปี 2567 นี้ ราคาทองคำก็จะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่อีกครั้ง ในช่วงเวลาที่โลกกำลังต่อสู้กับปัญหาทางการเมือง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึง ความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจของสหรัฐ และประเทศพัฒนาแล้วจำนวนหนึ่ง อาจชะลอตัวลง นอกเหนือจากความท้าทายต่างๆ ที่มีต่อเศรษฐกิจ และตลาดการเงิน

ราคาทองคำ

ในอดีตนั้น ทองคำอยู่ในวัฏจักรราคาต่ำ ระหว่างเดือนเมษายน 2556 ถึงมิถุนายน 2562 โดยมีการซื้อขายที่่ราคา 1,200-1,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากนั้น ราคาก็ทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นสู่ระดับเฉลี่ยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,775.58 ดอลลาร์ ในปี 2563 เพิ่มขึ้น 37.2% จากราคาเฉลี่ยรายปีในปีก่อนหน้านั้น

และเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ในช่วง 3 ปีต่อมา โดยในปี 2564 ทองคำมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1,799.32 ดอลลาร์ และเพิ่มขึ้นมามีราคาเฉลี่ยที่ 1,804.36 ดอลลาร์ในปีที่ 2565 และในปี 2566 นับถึงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มี ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1,940 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 7.4%

การเกิดกระแสคาดการณ์ว่า ในปี 2567 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และอาจรวมถึงธนาคารอีกหลายประเทศ จะเริ่มลดดอกเบี้ยลงนั้น ทำให้ทองคำมีความน่าสนใจขึ้นอย่างมาก ด้วยเหตุผลหลายประการ รวมถึง การที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยสำหรับทองคำ มีแนวโน้มลดลง ซึ่งการที่จะได้ผลตอบแทนน้อยลงนี้ ทำให้นักลงทุนมองหาทางเลือกในการลงทุนที่ดีกว่า

นอกจากนี้ เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ หรือเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะถดถอย หุ้นอาจต้องดิ้นรน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่เป็นบวก ซึ่งทำให้ทองคำ ที่ได้ชื่อว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย กลายเป็นแหล่งกระจายความเสี่ยง สำหรับพอร์ตลงทุนของนักลงทุน เนื่องจากไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธบัตร และหุ้น

จอห์น แฮธาเวย์ ผู้จัดการพอร์ตลงทุนอาวุโส จากสปรอตต์ แอสเซต แมเนจเมนท์ สหรัฐ แสดงความเชื่อมั่นว่า ทองคำจะมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งขึ้น ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

ราคาทองคำ

สภาทองคำโลก (ดับเบิลยูจีซี) ระบุไว้ในรายงาน “แนวโน้มทองคำ ปี 2567” ว่า ความต้องการทองในตลาดโลก มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในปี 2567 เนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ในหลายประเทศ จะเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทอง ในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ทั้งยังคาดว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะเดินหน้าซื้อทองคำเข้าสู่ระบบทุนสำรอง ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาทอง

ขณะที่บทวิเคราะห์ของ แบงก์ ออฟ อเมริกา คาดการณ์ว่า หากเฟดตัดสินใจลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น ราคาทองคำในปี 2567 ก็อาจพุ่งไปแตะระดับสูงสุดของปีที่ 2,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 18% จากระดับปัจจุบัน

เจ.พี. มอร์แกน มองว่า ราคาทองจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงกลางปี 2567 โดยจะแตะระดับสูงสุดที่ 2,300 ดอลลาร์ จากการลดอัตราดอกเบี้ย ที่มีการคาดการณ์กันไว้  ส่วนยูบีเอส ประเมินว่า จะทำสถิติสูงสุดที่ 2,150 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี 2567 หากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเกิดขึ้นจริง

ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนตุลาคม รอยเตอร์สได้สำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ และเทรดเดอร์จำนวน 30 คน พบว่า ค่ากลางของตัวเลขคาดการณ์ราคาทองในปี 2567 อยู่ที่ 1,986.5 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้นจากระดับคาดการณ์ของปี 2566 ที่ 1,925 ดอลลาร์ต่อออนซ์

เจมส์ มอร์ นักวิเคราะห์ จากฟาสต์ มาร์เก็ตส์ ชี้ว่า สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง จะยังคงเป็นปัจจัยหนุนราคาทองในระยะสั้น แต่คาดว่า ราคาจะไม่สามารถเคลื่อนไหวเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้เป็นเวลานาน จนกว่าธนาคารกลางในฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะเฟด จะใช้นโยบายผ่อนคลายการเงิน

ราคาทองคำ

ทั้งนี้ ราคาทองปรับตัวขึ้นกว่า 7% ในเดือนตุลาคม 2566 เนื่องจากสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ได้กระตุ้นแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้ราคาทอง ตลาดโคเม็กซ์ ของสหรัฐ พุ่งขึ้นเหนือระดับทางจิตวิทยาที่ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2566 และพุ่งทะลุระดับ 2,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo