สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความจริงแล้วไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะอุตสาหกรรมพลังงานเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกด้วย อย่างเช่น “กลุ่มวัสดุก่อสร้าง” เนื่องจากโดนแรงกดดันจากต้นทุนวัสดุที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมัน โดยเฉพาะราคาเหล็ก
ทั้งนี้ จากการสำรวจราคาเหล็ก พบว่าราคาปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการปรับขึ้น 20-30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่เข้ามากดดันต้นทุนและอัตราการทำกำไรของธุรกิจวัสดุก่อสร้างมากเลยทีเดียว
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย (KSecurities) เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบ จะยังอยู่ระดับสูงตลอดปี 2565 เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรประเทศรัสเซีย ส่งผลให้อุปทานน้ำมันลดลง ทำให้เป็นแรงกดดันต่อต้นทุนของหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ดังนั้น จึงได้ปรับลดประมาณการกำไรของกลุ่มในปีนี้ลง 6% เพื่อสะท้อนสมมุติฐานราคาพลังงานใหม่
ขณะเดียวกันคาดว่า ยอดขายวัสดุก่อสร้างในปี 2565 จะเติบโตในระดับปานกลาง เพราะเศรษฐกิจในประเทศกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว เช่นเดียวกับรายได้จากภาคเกษตรและกิจกรรมการก่อสร้างปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงเรื่อง stagflation และตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ที่คาดว่าจะเติบโตน้อยลง เนื่องจากประเด็นสงครามระหว่างประเทศรัสเซียกับยูเครน อาจทำให้การใช้จ่ายในภาคท่องเที่ยวล่าช้าออกไป
ดังนั้น KSecurities คงมุมมอง “เป็นกลาง” ต่อหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เชื่อว่าขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการเก็บสะสมหุ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกจะยังโดนแรงกัดดันจากอัตรากำไรที่ค่อนข้างอ่อนแอ โดยเลือกหุ้น DCC หรือ บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) เป็น “หุ้นเด่น” ของกลุ่ม เพราะเป็น defensive stock ที่ดี และไม่อ่อนไหวต่อราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น จึงให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 3.20 บาท
สำหรับหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ที่อยู่ในการวิเคราะห์ มีดังนี้
มุมมองส่วนตัวแล้วเชื่อว่า ทิศทางผลการดำเนินงานของหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะยังคงได้รับผลกระทบโดยมีปัจจัยลบจากต้นทุนวัสดุที่สูงขึ้นตามต้นทุนพลังงานที่กำลังเป็นขาขึ้น อย่างไรก็ตาม น่าจะถูกชดเชยจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากงานของภาครัฐที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งหลังมีการปรับเพิ่มงบประมาณลงทุนประจำปี
สุดท้ายนี้ก็ต้องบอกว่าหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างค่อนข้างได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับใครที่สนใจในหุ้นกลุ่มนี้อาจต้องพิจารณาสถานการณ์ให้ดีว่าจะถือรอฟื้น หรือ เปลี่ยนกลุ่มลงทุน (Sector Ratation) แล้วค่อยใช้กลยุทธ์ทยอยซื้อหลังจากที่สถานการณ์ต่างๆ เริ่มคลี่คลายแล้ว
หมายเหตุ | บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำหรือแนะนำให้ซื้อ ถือหรือขายหุ้นแต่อย่างใด ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- พรีวิว ‘3 หุ้นแบงก์ใหญ่’ ก่อนประกาศงบโค้งแรก ปี 2565
- 5 หุ้นโรงพยาบาล สุขภาพการเงินแข็งแรง!!
- สรุป 10 หุ้น ‘ราคาเพิ่มขึ้นสูงสุด’ ไตรมาสแรกปี 2565
