“ดาวโจนส์” ปิดตลาดในแดนลบ เมื่อวานนี้ (8 มี.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น หลัง “ไบเดน” ประกาศคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ส่งผลให้ราคาน้ำมัน-ทองคำ พุ่งแรง และทำให้ตลาดกังวลว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศ อันเนื่องมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนอาจทวีความรุนแรงมากขึ้น
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 32,632.64 จุด ลดลง 184.74 จุด หรือ 0.56% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 4,170.70 จุด ลดลง 30.39 จุด หรือ 0.72% และดัชนี แนสแด็กปิดที่ 12,795.55 จุด ลดลง 35.41 จุด หรือ 0.28%
ประธานาธิบดีโจไบเดน แถลงว่า สหรัฐจะระงับการนำเข้าน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย เพื่อตอบโต้ต่อการที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครน
ท่าทีดังกล่าว ทำให้ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัน อินเตอร์มีเดียท กำหนดส่งมอบเดือนเมษายน ปิดตลาดพุ่งขึ้นถึง 4.30 ดอลลาร์ หรือ 3.6% ปิดที่ 123.70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551
ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ กำหนดส่งมอบเดือนพฤษภาคม พุ่งขึ้น 4.77 ดอลลาร์ หรือ 3.9% ปิดที่ 127.98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2551
นอกจากนี้ ตลาดยังวิตกว่า การพุ่งขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อันเนื่องมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนนั้น จะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยขณะนี้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งขึ้นเป็นวงกว้าง ตั้งแต่น้ำมันดิบ น้ำมันเบนซิน ไปจนถึงโลหะมีค่าอย่างนิกเกิล และพัลลาเดียม
การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันและสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังอาจทำให้แผนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เผชิญกับความไม่แน่นอน โดยมอร์แกน สแตนลีย์ ได้ออกมาเรียกร้องให้เฟดใช้ความระมัดระวังมากขึ้น ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันอันเนื่องมาจากสงครามรัสเซีย-กำลังส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนีเอสแอนด์พี ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและกลุ่มเฮลธ์แคร์ร่วงลง 2.64% และ 2.11% ตามลำดับ แต่การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันเป็นปัจจัยหนุนดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น 1.39% ส่วนหุ้นกลุ่มสายการบินและเรือสำราญดีดตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนช้อนซื้อ หลังราคาหุ้นดิ่งลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา
นักลงทุนจับตาตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพฤหัสบดีนี้ (10 มี.ค.) ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 15-16 มีนาคม ซึ่งเป็นการประชุมครั้งที่ 2 ในปีนี้
ทางด้านราคาทองคำ ตลาดโคเม็กซ์ กำหนดส่งมอบเดือนเมษายน พุ่งขึ้น 47.4 ดอลลาร์ หรือ 2.37% ปิดที่ 2,043.3 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ปิดเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563
ราคาทองคำ ได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนยังคงเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งผลกระทบจากการที่นานาประเทศประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพื่อตอบโต้การใช้กำลังทหารบุกโจมตียูเครน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- นักลงทุนรุ่นใหม่ สนใจลงทุน ทองคำ ราคาพุ่งต่อ จากความขัดแย้ง ‘รัสเซีย-ยูเครน’
- ‘YLG’ ประเมินราคาทองคำปีนี้ทรงตัว แม้เผชิญปัจจัยกดดันเพียบ!