Stock - Finance

เปิดแผนขยายธุรกิจ MINT เน้นเจาะตลาดระดับโลก

เปิดแผนขยายธุรกิจ MINT เน้นเจาะตลาดระดับโลก ผ่านโหมด Asset-light

บทความนี้เราได้สรุปข้อมูล สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในหุ้น MINT หรือ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ที่เพิ่งประกาศผลการดำเนินประจำปี 2566 พร้อมแถลงทิศทางแผนการดำเนินธุรกิจตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป

โดยในปี 2566 ทาง MINT มีรายได้รวม 153,049 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 22% เมื่อเทียบกับปี 2565 โดยมีผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานอยู่ที่ 7,100 ล้านบาท ถือเป็นสถิติสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และเติบโตขึ้น 3 เท่าจากปีก่อนหน้า ส่วนบรรทัดสุดท้ายที่เป็นกำไรสุทธิทำได้ 5,407 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อน

เจาะตลาด

ปัจจัยการเติบโตหลักมาจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในทวีปยุโรป ประกอบกับการฟื้นตัวของการเดินทางในประเทศไทย โดยตลอดปี 2566 กลุ่มธุรกิจโรงแรม (ไมเนอร์ โฮเทลส์) มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) สูงขึ้น 30% ฟากธุรกิจร้านอาหาร (ไมเนอร์ ฟู้ด) มียอดขายรวมทุกสาขาสูงขึ้น 11%

แต่ว่าในกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ (ไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์) มีรายได้จากการดําเนินงานลดลง 12% แม้ไมเนอร์ สมาร์ท คิดส์ จะมีผลการดําเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น แต่ไม่สามารถชดเชยผลการดําเนินงานที่ด้อยลงของแบรนด์อื่นในกลุ่ม และผลกระทบจากการลดจํานวนสาขาของแบรนด์แฟชั่น

สัดส่วนผลการดําเนินงานในแต่ละกลุ่มธุรกิจของ MINT

MINT มีธุรกิจหลัก ๆ อยู่ 3 ส่วน คือ 1. ธุรกิจโรงแรม 2. ธุรกิจร้านอาหาร 3. ธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ โดยบทสรุปของปี 2566 เป็นดังนี้

เจาะตลาด

จะเห็นว่ารายได้และกำไรหลักของ MINT ยังคงมาจากธุรกิจโรงแรม ซึ่งบริษัทมีโรงแรมในเครือภายใต้แบรนด์อนันตรา, อวานี, เอ็นเอช คอลเลคชั่น, เอเลวาน่า, แมริออท, โฟร์ซีซั่นส์ ณ สิ้นไตรมาส 4/66 บริษัทมีโรงแรมที่ลงทุนเอง 365 แห่ง มีโรงแรมที่รับจ้างบริหารอีก 167 แห่ง ใน 55 ประเทศ โดยคิดเป็นห้องพักในประเทศไทยราว 7% ของห้องพักทั้งหมด ส่วนที่เหลืออีก 93% กระจายครอบคลุมทั่วทวีปเอเชีย โอเชียเนีย ยุโรป อเมริกา และแอฟริกา

ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารทางบริษัทมีที่เราคุ้นเคย เช่น เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เล่อร์ และแดรี่ควีน เป็นต้น โดย ณ สิ้นไตรมาส 4/66 มีจำนวนร้านอาหารทั้งหมด 2,645 แห่ง

แผนกลยุทธ์ปี 2567 ของ MINT

ล่าสุด MINT ได้เริ่มต้นเปิดเผยทิศทางธุรกิจในปี 2567 เตรียมงบลงทุน 10,000-13,000 ล้านบาท พร้อมมั่นใจปีนี้จะสร้างการเติบโตได้ดี โดยวางเป้าหมายกำไรสุทธิเติบโต 15-20% ผ่านกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน ได้แก่

1. เน้นขยายพอร์ตธุรกิจโรงแรมและอาหารในระดับโลก

ใน 3 ปีข้างหน้า “ไมเนอร์ โฮเทลส์” ตั้งเป้าเปิดโรงแรมเพิ่ม 200-500 แห่ง รวมเป็น 780 แห่ง ขณะที่ “ไมเนอร์ ฟู้ด” ตั้งเป้าจะเปิดร้านอาหารเพิ่ม 1,000 สาขา รวมเป็น 3,700 สาขาในอนาคต

สำหรับธุรกิจโรงแรม จะเน้นการขยายธุรกิจในระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่สำคัญระดับนานาชาติ เช่น การเพิ่มโรงแรมรับจ้างบริหาร 3 แห่งในกรุงปารีส การเปิดตัวโรงแรมหรู ภายใต้อนันตราในกรุงเวียนนา และการเปิดตัวของเอ็นเอช คอลเลคชั่นในเฮลซิงกิ รวมไปถึงการเปิดตัวของอนันตราและอวานีในซาอุดีอาระเบีย ควบคู่กับการเปิดโรงแรมใหม่ในตะวันออกกลาง อีกทั้งยังมีแผนการเปิดตัวโรงแรมรับจ้างบริหารในประเทศจีน

เจาะตลาด ระดับโลก

ในส่วนของธุรกิจอาหาร จะเน้นเสริมความแข็งแรงในกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีการเติบโตสูง ด้วยการเปิดแฟรนไชส์ในเวียดนามและสิงคโปร์ ภายใต้แบรนด์ซิซซ์เลอร์, เดอะคอฟฟี่ คลับ และเดอะ พิซซ่า คอมปะนี นอกจากนี้ ยังได้เข้าซื้อกิจการแดรี่ ควีน เพื่อดำเนินงานในอินโดนีเซีย พร้อมกับเปิดตัว เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์ และกาก้า

เจาะตลาด

2. ขยายธุรกิจผ่านโมเดล Asset-light

เป็นแนวทางการลงทุนแบบถือสินทรัพย์ด้วยตนเองน้อยลง เพื่อขยายธุรกิจของบริษัทให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมกับการใช้เงินลงทุนให้น้อยที่สุด เช่น กลุ่มโรงแรมจะเน้นการทำสัญญารับจ้างบริหาร ขณะที่กลุ่มร้านอาหารจะเป็นการทำสัญญาแฟรนไชส์เป็นหลัก

3. ลดภาระหนี้สิน เพื่อหนุนกำไรในช่วงดอกเบี้ยสูง

ภายในสิ้นปี 2567 จะลดอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเหลือ 0.8 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.0 เท่า เพื่อให้กำไรของบริษัทเติบโตได้ภายใต้ภาวะอัตราดอกเบี้ยสูง

ทั้งหมดนี้ก็เป็นแผนการเติบโตต่อไปข้างหน้าของ MINT  ชัดเจนว่านี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่บริษัทเน้นการมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมต่อยอดความแข็งแกร่งให้ขยายออกไปมากยิ่งขึ้น

อ่านข่าวเพิ่มเติม 

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo
แชร์วิธีคิด แบ่งปันความรู้ การเงิน การลงทุน