Politics

WHO ส่งสัญญาณอันตราย ‘ฝีดาษลิง’ ระบาดนอกแอฟริการวดเร็ว ไวรัสเปลี่ยนไป

WHO ส่งสัญญาณอันตราย ‘ฝีดาษลิง’ ระบาดนอกแอฟริการวดเร็ว ไวรัสเปลี่ยนไป ทั่วโลกต้องช่วยกัน ยุติการระบาด ก่อนจะสาย กลายเป็นโรคประจำถิ่น

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ได้โพสต์เฟซบุ๊ก บทสัมภาษณ์ ของ ดร.โรซามันด์ เลวิส (Rosamund Lewis)  หัวหน้าฝ่ายเทคนิคโรคฝีดาษลิง องค์การอนามัยโลก (WHO) ี่ผ่าน CNN โดยระบุว่า การเกิดการระบาดใหญ่ที่ผิดปรกติ ของไวรัสฝีดาษลิงนอกทวีปแอฟริกาอย่างรวดเร็วภายใน 3 อาทิตย์ ส่งสัญญาณอันตรายว่าไวรัสได้เปลี่ยนไป ทั่วโลกต้องช่วยกันยุติการระบาดก่อนจะสายกลายเป็นโรคประจำถิ่น

ฝีดาษลิง

สาเหตุหลักน่าจะมาจากการระบาดของไวรัสฝีดาษลิงเมื่อ 5 ปีก่อนต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันใน “ไนจีเรีย”ที่ถูกละเลย WHO ย้ำว่าไวรัสฝีดาษลิงไม่ใช่เชื้อไวรัสที่ติดต่อ “ผ่านสารคัดหลั่งในช่องคลอดและอสุจิขณะมีเพศสัมพันธ์” เหมือนเชื้อไวรัสเอชไอวี  แต่สามารถติดต่อกันได้ “ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์” เช่นเดียวกับหวัด หรือโควิด และไม่ใช่โรคเฉพาะเกย์

บางประเทศเริ่มพบการระบาดของไวรัสฝีดาษลิงอย่างน้อยสองสายพันธุ์ (clade) ไปพร้อมกัน เช่นที่สหรัฐอเมริกา ยังไม่ทราบความแตกต่างของการระบาดและความรุนแรงของอาการระหว่าง 2 สายพันธุ์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเริ่มระดมถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม จำนวน 2 สองแสนตำแหน่งของไวรัสฝีดาษลิงขึ้นแบ่งปันบนฐานข้อมูลโลก “GISAID”

ฝีดาษลิง

การแยกกักตัว คือ ปัญหาใหญ่ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสาธารณสุข เนื่องจากกินเวลานาน

ล่าสุดมีผู้ติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงแล้วอย่างรวดเร็วกว่า 800 ราย (6 มิ.ย. 2565) ในช่วง 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ปัญหาใหญ่ที่คาดว่าจะเกิดตามมา คือ การแยกกักตัว

ไวรัสฝีดาษลิงมีการแยกกักตัวตั้งแต่ขึ้นตุ่มจนตกสะเก็ด (infectious period) กินเวลานานถึง 2-4 สัปดาห์ ซึ่งยาวนานกว่าไวรัสโคโรนา 2019 มาก อันน่าจะส่งผลกระทบรุนแรงยิ่งกว่าโรคโควิด-19 ที่ระยะแยกตัวสั้นกว่า ทั้งด้านเศรษฐกิจ (ปัญหาการต้องหยุดประกอบอาชีพนานร่วมเดือน) สังคม และสาธารณสุข (ค่าใช้จ่ายในระหว่างการกักแยกตัวเอง นานร่วมเดือน)  หากมีการระบาดใหญ่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย

เกือบห้าปีก่อน (พ.ศ. 2560) ได้เกิดการระบาดของโรคฝีดาษลิงอย่างไม่ปรกติในไนจีเรีย ซึ่งอยู่ห่างไกลไปทางตะวันตกของแอฟริกา โดยพบเด็กชายอายุ 11 ขวบเกิดแผลที่บริเวณผิวหนังในเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 จากการสืบสวนโรคเป็นการระบาดจากสัตว์สู่คน เดิมแพทย์ผู้รักษาสงสัยว่าติดเชื้อไวรัสสุกใส แต่จากการทดสอบทางห้องปฏิบัติการบ่งชี้ว่าเป็นโรคฝีดาษลิง โดยมีการแพร่ไปยังผู้อื่นอีก 12 คน  โรคจึงถูกควบคุมสงบลง

และที่ผิดปกติมากกว่านั้น คือตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบันปี 2565  ในไนจีเรียยังพบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติมาอย่างต่อเนื่อง จำนวนมากกว่า 500 ราย อันอาจเนื่องมาจากไวรัสเกิดการกลายพันธุ์ ผู้ป่วยจำนวนมากเป็นผู้ชาย และหลายคนมีรอยโรคที่อวัยวะเพศ ทำให้ตรวจคัดกรองได้ยาก เนื่องจากตุ่มแผลอยู่ใต้ร่มผ้า ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการติดต่อระหว่างมีเพศสัมพันธ์ซึ่งดูจะแตกต่างจากการแพร่ติดต่อของไวรัสฝีดาษลิงในอดีต ซึ่งติดต่อจากสัตว์สู่คนด้วยการสัมผัสสัตว์ป่วย ถูกสัตว์กัดหรือข่วน กินเนื้อสัตว์ที่ไม่สุก โดยจะมีตุ่มแผลเกิดขึ้นตามหน้าและตัว

ฝีดาษลิง

แต่เนื่องจากโรคฝีดาษลิงเกิดขึ้นในประเทศที่ยากจน และอยู่ห่างไกลจากประเทศที่พัฒนาแล้ว ปัญหาจึงไม่ได้รับการเหลียวแลแก้ไขเท่าที่ควร แม้ว่าสาธารณสุขไนจีเรียได้ร้องขอความช่วยเหลือเรื่องการระบาดของไวรัสฝีดาษลิง จากประชาคมโลกมาโดยตลอดก็ตาม ในปี 2560 ได้เกิดการระบาดของโรคฝีดาษลิงอย่างไม่ปรกติในยุโรป สหราชอาณาจักร และอิสราเอล จากผู้ที่เดินทางมาจากไนจีเรีย แต่โรคก็ถูกควบคุมให้สงบลงได้  (ภาพ 2-3)

WHO  แถลงว่าไวรัสฝีดาษลิงไม่ใช่เชื้อไวรัสที่ติดต่อ “ผ่านสารคัดหลั่งในช่องคลอดและอสุจิขณะการมีเพศสัมพันธ์” เหมือนเชื้อไวรัสเอชไอวี หรือไวรัสตับอักเสบ C ซึ่งจะสามารถแพร่กระจายผ่านทางน้ำอสุจิและของเหลวในช่องคลอด (ยังไม่มีข้อมูลว่าพบไวรัสฝีดาษลิงในน้ำอสุจิและของเหลวในช่องคลอดของผู้ติดเชื้อ) แต่สามารถติดต่อได้ “ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์” ได้เช่นเดียวกับโรคหวัด และโควิด-19 เพราะเป็นโรคติดต่อจากการสัมผัสใกล้ชิด

แม้ว่าในการระบาดล่าสุดของไวรัสฝีดาษลิงจะแพร่กระจายในหมู่ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายหรือเกย์ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคติดต่อเฉพาะในกลุ่มชายรักชาย  ทุกคนไม่ว่าเพศใด  อายุใด มีโอกาสติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงได้เช่นกัน

ฝีดาษลิง

3 สาเหตุ ที่ผู้เชี่ยวชาญคาด ฝีดาษลิง สามารถหลบเรดาร์การตรวจจับ

ผู้เชี่ยวชาญกำลังหาคำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุด ว่าเหตุใดไวรัสฝีดาษลิงสามารถหลบเรดาร์การตรวจจับ มาตั้งแต่ พ.ศ. 2560 จนกลับมาระบาดใหญ่ในประเทศนอกทวีปแอฟริกาในปี พ.ศ. 2565 จากผู้ติดเชื้อที่ไม่มีประวัติเดินทางไปยังประเทศในทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไนจีเรีย โดยอาจเป็นไปได้ว่า

  1. มีเหตุการณ์บางอย่าง เช่นงานชุมนุมใหญ่ที่มีคนจำนวนมากมาเข้าร่วม เช่น งานชุมนุมชายรักชาย (Gay pride) ที่สเปน ทำให้ไวรัสฝีดาษลิงบางคนมีโอกาสได้แพร่กระจายระหว่างคนสู่คนได้มากยิ่งขึ้น เมื่อผู้เข้าร่วมงานที่มีการติดเชื้อระหว่างการชุมนุมได้เดินทางกลับไปยังประเทศที่ตนพำนักอยู่ก็เกิดการระบาดใหญ่ติดตามมา
  2. ไวรัสฝีดาษลิงซึ่งเป็นโรคประจำถิ่นเดิมมีการระบาดจากสัตว์สู่คนเป็นระยะๆ ได้มีวิวัฒนาการกลายพันธุ์มาเป็นลำดับจนสามารถระบาดติดต่อระหว่างคนสู่คนได้ดีขึ้น
  3. ไวรัสฝีดาษลิงอาจมีแพร่ระบาดระหว่างคนสู่คนมาระยะหนึ่งแล้วแต่เราตรวจไม่พบ

ฝีดาษลิง

ฝีดาษลิงแตกต่างจากโควิด เพราะระบาดหลายสายพันธุ์ได้พร้อมกัน

การระบาดของไวรัสฝีดาษลิงแตกต่างจากไวรัสโคโรนา 2019  ที่เราคุ้นเคย เช่นแต่ละสายพันธุ์ (clade) ของไวรัสโคโรนา 2019 ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์หลักหรือสายพันธุ์ย่อย จะทยอยระบาดออกมาแทนที่กัน เช่น เดลต้าระบาดมาแทนที่ อัลฟา และ เบตา ในขณะที่โอไมครอนระบาดมาแทนที่เดลตา เป็นต้น

แต่ลักษณะการระบาดของไวรัสฝีดาษลิง ดูเหมือนหลายสายพันธุ์จะสามารถระบาดไปพร้อมกันได้  ตั้งแต่พฤษภาคม  พ.ศ.  2565  ได้มีการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสฝีดาษลิง ที่พบการระบาดในทวีปยุโรป อเมริกา และ ออสเตรเลีย ในประเทศ สเปน, เนเธอร์แลนด์, ฟินแลนด์, ออสเตรเลีย, สวิตเซอร์แลนด์, สโลวีเนีย, อิตาลี, อิสราเอล, ฝรั่งเศส, เบลเยียม,  เยอรมนี, สหราชอาณาจักร, แคนาดา, สหรัฐอเมริกา โปรตุเกส พบว่าเป็นไวรัสฝีดาษลิงสายพันธุ์ใหม่ ที่มีการกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสฝีดาษลิงสายพันธุ์ดั้งเดิม ที่ระบาดเป็นโรคประจำถิ่นในแอฟริกามากกว่า 40 ตำแหน่ง

ฝีดาษลิง

อย่างไรก็ตามในหลายประเทศ เช่น ในกรณีศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (US CDC) ได้สุ่มถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมจากตัวอย่างผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั่วสหรัฐอเมริกา ระหว่างเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน 2565 พบว่า มีการระบาดไวรัสฝีดาษลิงไม่น้อยกว่าสองสายพันธุ์ควบคู่กันไป สายพันธุ์แรกมีพันธุกรรมคล้ายคลึงกับบรรดาสายพันธุ์ที่กำลังระบาดในยุโรปในขณะนี้ (ปี 2565) ซึ่งผู้ติดเชื้อไม่ได้มีประวัติการเดินทางไปไนจีเรีย  ส่วนสายพันธุ์ที่สอง พบว่ามีพันธุกรรมคล้ายคลึงกับสายพันธุ์จากผู้ติดเชื้อที่เดินทางกลับมาจากไนจีเรีย เมื่อปี 2564

US CDC คาดคะเนว่าได้มีไวรัสฝีดาษลิงเข้ามาระบาดในสหรัฐอเมริกาแบบเงียบๆมาระยะหนึ่ง  โดยกำลังสอบสวนจากการถอดรหัสพันธุกรรม ว่าได้เข้ามาระบาดแล้วกี่ระลอก  และแต่ละระลอกมีอาการการติดเชื้อแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร (ภาพ 2-4)

หากมีการระบาดของไวรัสฝีดาษลิงเกิดขึ้น ในประเทศซึ่งไม่เคยมีการระบาดมาก่อน เช่นประเทศไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรีบสืบสวนถอดรหัสพันธุกรรมอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งอาทิตย์ เพื่อให้ทราบว่าเป็นการระบาดของไวรัสฝีดาษลิงสายพันธุ์ไหน เพื่อสามารถจัดการป้องกัน ดูแล และรักษาให้สอดคล้องกับแต่ละสายพันธุ์ที่เข้ามาระบาด และแพร่จำนวนในประเทศไทย

ฝีดาษลิง

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ พัฒนาการตรวจขึ้นสองแบบ คือ

  1. พัฒนาการตรวจ Massarray genotyping อันเป็นการตรวจกรองเบื้องต้น หลังจากการตรวจ PCR ให้ผลบวก ที่สามารถตรวจกรองและคัดแยกไวรัสเหล่านี้ที่ก่อให้เกิดตุ่มน้ำบริเวณผิวหนัง ที่แยกยากจากตุ่มน้ำจากการติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงในระยะแรก ไปพร้อมกันในการทดสอบเพียงครั้งเดียว (single tube reaction)
  2. Herpes Simplex virus type 1 หรือ เชื้อ HSV-1 ที่มักพบการติดเชื้อเป็นตุ่มน้ำบริเวณปากหรือรอบๆ ปาก
  3. Herpes Simplex virus type 2 หรือ เชื้อ HSV-2 เป็นการติดเชื้อในลักษณะตุ่มน้ำบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ หรือ อวัยวะเพศ ช่องคลอด ปากมดลูก ทหารหนัก อวัยวะเพศชาย ถุงอัณฑะ ฯลฯ
  4. Herpes Simplex virus type 3 หรือ HSV-3 ก่อให้เกิดสุกใส chickenpox (varicella) และงูสวัด shingles (herpes zoster) เกิดตุ่มน้ำขึ้นเช่นเดียวกัน
  5. ไวรัสฝีดาษลิงที่กำลังระบาดในทวีป ยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย อยู่ในขณะนี้ ซึ่งมีการกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสฝีดาษลิงดั้งเดิม >40 ตำแหน่ง
  6. ไวรัสฝีดาษลิงที่ระบาดในปี 2560 จากประเทศไนจีเรีย ทวีปแอฟริกา ซึ่งยังไม่มีการกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสฝีดาษลิงสายพันธุ์ดั้งเดิม
  7. ไวรัสฝีดาษคน (smallpox) ที่ผู้ติดเชื้อผู้ใหญ่มีอัตราการเสียชีวิต 30% และในเด็กสูงถึง 80% ปัจจุบันคาดว่าได้ถูกขจัดสูญพันธุ์ไปแล้ว (ภาพ 5)
  8. การถอดรหัสพันธุ์อย่างรวดเร็วในลักษณะของ “Metagenomic” ซึ่งสามารถบ่งชี้จุลชีพและไวรัสอาร์เอ็นเอ หรือดีเอ็นเอ ทุกประเภท และทุกสายพันธุ์ จากสิ่งส่งตรวจ เพื่อให้ทราบว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับจุลชีพหรือไวรัสประเภทใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของไวรัสฝีดาษลิ งซึ่งตอนนี้เรายังไม่มีข้อมูลมากพอเพียงที่จะระบุได้ว่าจะเป็นการติดเชื้อสายพันธุ์ไหน และมีการกลายพันธุ์ไปอย่างไร เพื่อการดูแล ป้องกันและรักษา ได้ทันท่วงที

รวมทั้งร่วมด้วยช่วยกันเร่งแชร์ข้อมูลรหัสพันธุกรรมของไวรัสฝีดาษลิง ที่ถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมขึ้ นบนฐานข้อมูลโลก “GISAID” และ “Nextstrain”(ภาพ2-3,7) เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์จากทุกประเทศได้นำไปใช้ประโยชน์ เพื่อร่วมด้วยช่วยกันยุติการแพร่ระบาดของไวรัสฝีดาษลิงลงโดยเร็วที่สุด เพื่อมิให้เกิดเป็นโรคประจำถิ่น ในประเทศที่ไม่เคยมีการระบาดมาก่อน (ภาพ 6)

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo