“กองทัพเรือ” น้อมรับการตัดสินใจของรัฐบาลปม “เรือดำน้ำ” ลั่นอย่าเพิ่งไปพูดถึง “เรือฟริเกต” พร้อมขอบารมี “เสด็จเตี่ย” ช่วยดลบันดาลให้เรือลำนี้จบลงด้วยดี
พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าเรื่องเรือดำน้ำ ว่า กองทัพเรือได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว อดีตผู้บังคับบัญชาทุกท่านได้นำยุทธศาสตร์กองทัพเรือที่เราจำเป็นต้องมีเรือดำน้ำ 4 ลำ เดินหน้าเพื่อให้มีเรือดำน้ำให้ได้ การมีเรือดำน้ำ คงไม่ใช่เพราะเขามี แต่เราจำเป็นต้องมีเพราะมิติใต้น้ำเรายังบกพร่อง เรือดำน้ำเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ พูดออกสื่อลำบาก
“แต่เข้าใจว่าทุกคนคงเข้าใจว่าเรามีเรือดำน้ำไว้ทำอะไร อดีตผู้บังคับบัญชาก็เดินหน้าโครงการนี้มานานแล้วปี 2558 เราเริ่มลงนามกันปี 2560 ในช่วงที่มีการลงนามการกำหนดความต้องการตาม tor ซึ่งกำหนดว่าเป็นเครื่องยนต์โดยเขียนรวม ๆ ว่า เราต้องการ diesel generator set ในขณะที่จีนเสนอ MTU 396 และตบท้ายด้วยว่า GB31L (ผลิตในจีน)” ผบ.ทร. กล่าว
ซึ่งขณะนั้นจีนยังคงได้ลิขสิทธิ์ในการผลิตจากเยอรมันในการใช้งาน และการส่งออก จึงเซ็นสัญญากัน ยืนยันว่า ณ วันนั้นไม่มีฝ่ายใดบกพร่อง ต้องกราบขอโทษประชาชน ที่กองทัพเรือไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะหลังที่ตนรับหน้าที่ได้ทำหนังสือถึงจีนขออนุญาตเปิดเผยข้อมูลในสัญญาบางส่วนได้หรือไม่เพราะที่ผ่านมาไม่ได้มีการทำหนังสือจึงต้องขออนุญาตก่อน ถือเป็นมารยาทระหว่างประเทศ และจีนก็อนุญาตให้กองทัพเรือเปิดเผยได้ตามที่จำเป็น
จนปี 2562 จีนได้ทำหนังสือถึงกองทัพเรือไทยแจ้งว่าเครื่องยนต์มีปัญหา เพราะทางเยอรมันไม่อนุญาตให้ทำได้ ซึ่งผู้แทนกองทัพเรือที่ประเทศจีน ได้ทำหนังสือตอบโต้กลับอยู่หลายฉบับ เพื่อยืนยันตามความต้องการเดิมคือเครื่องยนต์เยอรมัน โดยได้ดำเนินการทุกวิถีทาง และอดีตผู้บังคับบัญชาทุกท่านได้เจรจากับเยอรมัน รวมถึงสถานทูตเจรจา
จากนั้นปี 2564 จีนมีหนังสือแจ้งมาว่าไม่น่าจะได้แล้ว ขอให้มาร่วมช่วยกันหาทางออก ทาง พล.ร.อ.เชิงเชิงชาย ชมเชิงแพทย์ อดีต ผบ.ทร.คนก่อน ได้ให้กรมอู่ทหารเรือ เดินทางไปตรวจสอบเครื่องยนต์ CHD 620 ที่จีนผลิต และได้ทดสอบทุกมิติ ทดลองเครื่องด้วยการวิ่ง 200 ชั่วโมงไม่มีการหยุด ทำทุกอย่างตามข้อตกลงผลที่ออกมาจึงมีรายงานถึงอดีต ผบ.ทร.ว่าเครื่องยนต์น่าจะโอเค จนเป็นที่มาของการเซ็นหนังสือ ถึงกระทรวงกลาโหมเพื่อขออนุญาตเปลี่ยนเครื่องยนต์เรือดำน้ำ ถือเป็นทางออกที่กองทัพเรือทำได้ดีที่สุด
“รัฐบาลให้เงินกองทัพเรือมาซื้อเรือดำน้ำ กองทัพเรือก็ทำหน้าที่ซื้อเรือดำน้ำให้ได้ เราไม่มีหน้าที่ที่จะมาบอกว่าเปลี่ยนเป็นเรืออื่น เพราะตามระเบียบการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ให้เงินมาซื้อเรือดำน้ำต้องได้เรือดำน้ำ เมื่อเรื่องมาถึงรัฐบาลใหม่ ซึ่งกองทัพเรือต้องกราบขอบคุณนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่ช่วยเจรจากับเยอรมันและจีน ซึ่งก็ยังเป็นคำตอบเดิม” ผบ.ทร.กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงขั้นตอนที่คิดว่าต้องทำอย่างไรดี ถ้าเรือดำน้ำมาถึงทางตันเราจะเสนอเรืออะไรดี ซึ่งผมได้ขอไปว่าขอให้เงินจำนวนนี้เป็นเงินของกองทัพเรือ ซื้ออาวุธให้กองทัพเรือ เรือที่น่าจะเหมาะสมคือเรือผิวน้ำ ขอย้ำว่าเรือผิวน้ำ อย่าพึ่งไปพูดถึงเรือฟริเกต หรือเรือ OPV หรืออะไรก็แล้ว ตนจะขอรับผิดชอบคิดให้ การจะซื้อเรือลำนึงมีปัจจัยเป็นองค์ประกอบมากมาย เพราะยังต้องเจรจาอีกหลายขั้นตอน
“กระทรวงกลาโหมได้ทำหนังสือถึงกรมพระธรรมนูญ โดยสอบถามไปว่าการจะแก้ไขสัญญาใครเป็นผู้อนุมัติ ครม.หรือสภา รวมถึงขั้นตอนต่างๆ เป็นอย่างไร ในขณะเดียวกันกองทัพเรือได้ทำหนังสือถึงสำนักงานอัยการสูงสุด สอบถามใน 3 ประเด็น คือ 1.การปรับแก้เครื่องยนต์เป็นสาระสำคัญหรือไม่ 2.การจะเปลี่ยนเรือดำน้ำมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ จะมาบอกว่าเปลี่ยนได้ 3. อนุมัติให้แก้ไขเครื่องยนต์ อำนาจอยู่ที่ใคร” ผบ.ทร.กล่าว
ผบ.ทร. ยังย้ำว่า อยากให้รอคำตอบจากอัยการสูงสุด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 30 วันหลังจากส่งหนังสือไป จากนั้นกระทรวงกลาโหม และกองทัพเรือ จะพิจารณาว่าจะเดินหน้าอย่างไร ขอให้ใจเย็นและยืนยันว่ากองทัพเรือจะใช้งบประมาณให้คุ้มค่า ตอบโจทย์ภาระหน้าที่การรับผิดชอบอธิปไตยให้กับคนไทยอย่างดีที่สุด
ส่วนสัญญาจะสิ้นสุด 30 ธันวาคม 2566 ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลอะไร ทุกอย่างยังเดินหน้าต่อไปได้ ก็คิดค่าปรับตามระเบียบพัสดุฯ แต่เมื่อมีเหตุผลรองรับการทำเรื่องขอลดหย่อนค่าปรับ สามารถอธิบายกันได้ตามเหตุผลและความจำเป็น ซึ่งยืนยันว่ากองทัพเรือจะทำตามระเบียบทุกขั้นตอน โดย 15 วันก่อนหมดสัญญา กองทัพเรือจะทำหนังสือแจ้งเตือน พร้อมยอมรับเป็นเรื่องยาก หากง่ายคงเสร็จไป แต่จะต้องจบในยุคของตน เพราะจะสิ้นสุดสัญญาแล้ว ต้องทำอะไรให้ชัดเจน
เมื่อถามว่า ได้มีการพูดคุยกับรัฐบาลและกลาโหม ถึงความต้องการเปลี่ยนเครื่องยนต์เรือดำน้ำ เราสู้ตรงนี้ได้หรือไม่ ผบ.ทร.กล่าวว่า การสู้ตรงนี้ก็คือการที่ พล.ร.อ.เชิงชายได้ทำหนังสืออธิบายว่ากองทัพเรือเดินหน้าแต่ผู้บริหารระดับบนมีในเรื่องของกฎหมาย ซึ่งทางกองทัพเรือก็เข้าใจ น้อมรับการตัดสินใจของรัฐบาลและกลาโหม และสุดท้ายไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของคนไทย ตนขอยืนยัน
เมื่อถามว่า ถือเป็นยุคหัวเลี้ยวหัวต่อของการจะมีหรือไม่มีเรือดำน้ำ ในยุค ผบ.ทร.คนปัจจุบัน พล.ร.อ.อะดุง ยอมรับว่า ใช่ ประวัติศาสตร์ไม่สำคัญ ขอให้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อและมีการตัดสินใจที่ถูกต้อง อีกทั้งได้อธิบายกับผู้บังคับบัญชาว่าเครื่องยนต์จีนพัฒนามาจากเครื่องยนต์เยอรมันที่ผลิตในจีน ซึ่งมีไลเซนส์ หรือใบอนุญาตอยู่ เพียงแต่ไม่ใช่ชื่อเครื่องยนต์ MTU เท่านั้นเอง โดยตามกฎหมายเข้าใจกันได้ แต่ตามลายลักษณ์อักษรมันไม่ง่าย
“ผมเข้าใจคนที่จะเซ็นอนุมัติ เพราะความเป็นห่วง เราจะพยายามทำทุกอย่างให้มันผ่านไปด้วยดี คนเซ็นก็ไม่มีความกังวล ยอมรับว่าผมก็ใจร้อนเช่นกัน และขอให้อานุภาพกรมหลวงเสด็จเตี่ย ช่วยดลบันดาลให้เรือลำนี้จบลงด้วยดี” ผบ.ทร. กล่าว
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ไร้ทางออก เปลี่ยน ‘เรือดำน้ำ’ เป็น ‘ฟริเกต’
- ‘รมว.กลาโหม’ เตรียมตั้งคณะเจรจาจีน เปลี่ยนซื้อ ‘เรือฟริเกต’ แทน ‘เรือดำน้ำ’
- ‘เพื่อไทย’ แจงเหตุ ‘สุทิน’ ชงซื้อเรือฟริเกตแทนเรือดำน้ำ ลั่นดีกว่าสูญเงินเปล่า!