COVID-19

ถอดบทเรียนสำคัญ!! การปนเปื้อนในที่พักผู้ป่วยโควิด-19 แนะแนวทางลดความเสี่ยง

ศูนย์จีโนมฯ เผยผลศึกษานักวิจัยจีน ถึงการปนเปื้อนของไวรัสโคโรนา 2019 ในที่พักอาศัยผู้ป่วยโควิด-19 และแนวทางการลดความเสี่ยง

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics  เรื่อง ถอดบทเรียนจากผลการศึกษาการปนเปื้อนของไวรัสโคโรนา 2019 ในที่พักอาศัยผู้ป่วยโควิด-19 และแนวทางการลดความเสี่ยง โดยระบุว่า

ผู้ป่วยโควิด-19

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการแพร่เชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ผ่านพื้นผิวที่ปนเปื้อน หรือที่เรียกว่า fomite transmission

การศึกษาล่าสุดโดยนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคเขตหวงผู่ นครเซี่ยงไฮ้ ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการลดลงของ SARS-CoV-2 บนพื้นผิวในที่พักอาศัยของผู้ป่วยโควิ ด-19และความเสี่ยงของการแพร่เชื้อผ่านทางวัตถุ ของใช้ที่ใช้ร่วมกัน

การศึกษานี้เก็บตัวอย่างพื้นผิว 2,233 ตัวอย่างจากวัตถุ 21 ประเภทใน 141 ที่พักอาศัยของผู้ป่วยโควิด-19 ด้วยการสวอปพื้นผิวดังกล่าวโดยใช้วิธี RT-qPCR เพื่อตรวจหาอาร์เอ็นเอของ SARS-CoV-2

ผลการศึกษาพบว่า แม้จะตรวจพบอาร์เอ็นเอของ SARS-CoV-2 บนพื้นผิว แต่ระดับการปนเปื้อนลดลงอย่างมากภายในเวลาเพียง 3 วันหลังจากแยกตัวผู้ป่วยออกจากที่พักอาศัย โดยปริมาณอาร์เอ็นเอ ของ SARS-CoV-2 ลดลงถึง 90% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ไวรัสสลายตัวได้ค่อนข้างรวดเร็วบนพื้นผิว เมื่อแหล่งแพร่เชื้อถูกกำจัดออกไป

อย่างไรก็ตาม การศึกษาพบว่าบริเวณที่เปียกชื้น เช่น อ่างล้างมือ ก๊อกน้ำ และท่อระบายน้ำ มีอัตราการตรวจพบอาร์เอ็นเอของ SARS-CoV-2 สูงที่สุด ซึ่งบ่งชี้ว่า อาร์เอ็นเอของไวรัสอาจคงอยู่ได้นานกว่าบนพื้นผิวเปียกแฉะเมื่อเทียบกับพื้นผิวแห้ง ดังนั้น จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบริเวณเหล่านี้ เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อผ่านทางวัตถุของใช้

ไวรัส

อันดับความสี่ยงแตกต่างกันตามประเภทพื้นผิวสัมผัส

จากข้อมูลในการศึกษา สามารถสรุปได้ว่า ความเสี่ยงของ fomite transmission ของ SARS-CoV-2 ในที่พักอาศัยของผู้ป่วยโควิด-19 มีความแตกต่างกันตามประเภทของพื้นผิวสัมผัส โดยสามารถจัดลำดับความเสี่ยงจากมากไปน้อยได้ ดังนี้

1. อ่างล้างมือ ก๊อกน้ำ และท่อระบายน้ำ มีความเสี่ยงสูงที่สุด เนื่องจากมีอัตราการตรวจพบ SARS-CoV-2 อาร์เอ็นเอสูงถึง 20% ซึ่งอาจเกิดจากการปนเปื้อนจากน้ำที่ใช้ล้างมือ

2. ผ้าเช็ดหน้าและเสื้อผ้าที่ใช้ร่วมกัน โดยเฉพาะผ้าปูที่นอน มีความเสี่ยงรองลงมา เนื่องจากมีอัตราการตรวจพบ SARS-CoV-2 อาร์เอ็นเอ สูงเช่นกัน ซึ่งอาจเกิดจากการสัมผัสใกล้ชิดและการซึมของสารคัดหลั่ง

3. พื้นผิวสัมผัสบ่อย เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได ปุ่มลิฟต์ มีความเสี่ยงปานกลาง เนื่องจากแม้จะมีการสัมผัสบ่อย แต่อัตราการตรวจพบ SARS-CoV-2 อาร์เอ็นเอ ไม่ได้สูงมากนัก

4. อุปกรณ์ในห้องน้ำ เช่น โถสุขภัณฑ์และที่จับต่างๆ มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ ถึงแม้จะตรวจพบ SARS-CoV-2 อาร์เอ็นเอ แต่อัตราการพบต่ำกว่ากลุ่มแรก

5. ของเล่นและวัตถุที่อาจมีเชื้อปนเปื้อน มีความเสี่ยงต่ำที่สุด แม้ว่าเด็กอาจนำของเล่นเข้าปาก แต่อัตราการตรวจพบ SARS-CoV-2 อาร์เอ็นเอ บนของเล่นไม่สูงมากเมื่อเทียบกับพื้นผิวที่มีการใช้งานบ่อยอย่างอ่างล้างมือ

ไวรัสพื้นผิว

การนำข้อมูลจากการศึกษานี้ไปประยุกต์ 

1. แยกผู้ป่วยโควิด-19 ออกจากบริเวณที่อยู่ร่วมกับสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ

2. เน้นย้ำความสำคัญของการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบริเวณที่มีความเสี่ยงสูง เช่น อ่างล้างมือ ก๊อกน้ำ ท่อระบายน้ำ และผ้าปูที่นอน เป็นประจำ เพื่อลดการปนเปื้อนและการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส

3. แนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกัน โดยเฉพาะผ้าเช็ดหน้าและเสื้อผ้า เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อผ่านพื้นผิวสัมผัส

4. ส่งเสริมให้ทำความสะอาดพื้นผิวที่มีการสัมผัสบ่อย เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได และปุ่มลิฟต์ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการสะสมของเชื้อไวรัส

5. เพิ่มความระมัดระวังในการทำความสะอาดอุปกรณ์ในห้องน้ำ แม้จะมีความเสี่ยงไม่สูงมาก แต่ก็ควรทำความสะอาดเป็นประจำเพื่อลดการปนเปื้อน

6. แนะนำให้ผู้ปกครองทำความสะอาดของเล่นเด็กเป็นระยะ แม้จะมีความเสี่ยงต่ำสุด แต่ก็เป็นการป้องกันที่ดีเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อในเด็ก

7. ใช้ข้อมูลความเสี่ยงเพื่อวางแผนและจัดลำดับความสำคัญในการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อในพื้นที่ต่างๆ โดยเน้นไปที่บริเวณที่มีความเสี่ยงสูงก่อน

8. ประชาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงของ fomite transmission และแนวทางการป้องกันที่เหมาะสม เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค

9. นำข้อมูลไปใช้ในการพัฒนานโยบายและมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ โดยเน้นการควบคุมความเสี่ยงจาก fomite transmission ในที่พักอาศัยและชุมชน

อย่างไรก็ตาม ยังมีความจำเป็นต้องทำการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างการตรวจพบ อาร์เอ็นเอ ของไวรัสและความเสี่ยงที่แท้จริงของการติดเชื้อ เนื่องจากการมี อาร์เอ็นเอ ไม่ได้หมายความว่ามีอนุภาคไวรัสที่ยังติดเชื้อได้อยู่เสมอไป

การศึกษาในอนาคตจะช่วยให้เข้าใจถึงบทบาทของ fomite transmission ในการแพร่กระจายของโรคได้ดียิ่งขึ้น และนำไปสู่การพัฒนามาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นต่อไป

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

Avatar photo