Sports

เปิดสาเหตุ ทำไม! ‘เลสเตอร์ ซิตี้’ โวย ‘พรีเมียร์ลีก-EFL’ ว่า ‘ไม่ยุติธรรม’

ทันทีที่พรีเมียร์ลีกแจ้งข้อหา “สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้” เรื่องทำผิดกฎทางการเงิน “PSR” ประธานสโมสรอย่าง “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” โต้กลับทันทีว่า นี่คือการตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม และการใช้อำนาจเกินขอบเขตในการเล่นงานทีมอย่าง เลสเตอร์ ที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในลีกสูงสุดด้วยซ้ำ

MainStand เว็บไซต์กีฬา รายงานถึงเรื่องนี้ว่า สิ่งที่สะท้อนออกมาเห็นชัดจากกรณี คือ “พรีเมียร์ลีก” เลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน เพราะในขณะที่แฟน ๆ แสดงความเห็นว่า เคสใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเชลซี จะมีความคืบหน้าเมื่อใด แต่ถึงวันนี้ก็ยังเงียบ

เลสเตอร์ ซิตี้

ขณะที่กรณีของทีมอย่าง “เลสเตอร์ ซิตี้” กลับมีการเร่งรัดการดำเนินการให้จบภายใน 12 สัปดาห์ ซึ่งถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไรที่ EPL ถึงเอนเอียงได้ขนาดนี้

ที่มาที่ไปของเรื่องนี้เป็นอย่างไร ทำไมกฎ PSR ถึงไล่เช็คบิลทีมเล็ก ๆ มาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมาถึง เลสเตอร์ ในคิวล่าสุด “ความไม่ยุติธรรม” ที่ว่านี้คืออะไร ติดตามที่ Main Stand

PSR มาอย่างไร

PSR มีชื่อเต็ม ๆ ว่า Profitability and Sustainability แปลตรงตัวคือ “กฎเพื่อการทำกำไรและความยั่งยืน” ของทีมในพรีเมียร์ลีก เดิมทีกฎนี้พรีเมียร์ลีกรับลูกมาจากยูฟ่า ชื่อเดิมคือกฎ FFP โดยเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2013

ตามหลักการเเล้วมันไม่มีอะไรมากไปกว่า “แก่น” ของกฎนี้ นั่นคือการทำให้ทีมในพรีเมียร์ลีก ขาดทุนไม่เกิน 105 ล้านปอนด์ จากผลประกอบการ 3 ปีหลังสุด … กล่าวคือคุณมีหนี้ได้ แต่ถ้าคุณไม่จัดการหนี้ก้อนนั้นให้น้อยกว่าที่กำหนดไว้ และการขาดทุน-กำไร ในส่วนของกฎ PSR นี้จะใช้แค่การซื้อ-ขาย นักเตะ รวมถึงการจ่ายค่าเหนื่อย – ค่าจ้าง นักเตะและทีมงานส่วนต่าง ๆ ของสโมสรเท่านั้น

ส่วนเงินที่แต่ละทีมใช้พัฒนาเยาวชน โครงสร้างพื้นฐาน เช่น สนามซ้อม ศูนย์ฝึกเยาวชน, ศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา … เงินที่ใช้ในส่วนนี้จะไม่ถูกนับรวมเข้ามาในการตรวจสอบ

สำหรับทีมที่ขาดทุนรวมเกิน 105 ล้านปอนด์ จะต้องถูกส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการอิสระเพื่อ ตัดสินคดีดังกล่าวว่าการผิดกฎ PSR หรือไม่ ซึ่งการตรวจสอบและตัดสินคดีความผิดกฏ PSR แบบเก่านั้นไม่มีกรอบของเวลามากำหนดว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ทว่าจากกรณีล่าสุดกำหนดการตัดสินกลับถูกแก้ให้จบลงภายใน 12 สัปดาห์ ซึ่งสร้างความงุนงงถึงมาตรฐานที่เกิดขึ้นอย่างมาก

เลสเตอร์ ซิตี้

เหตุผลที่เป็นแบบนั้นเพราะ เอฟเวอร์ตัน ทีมที่โดนพรีเมียร์ลีกตัดแต้มในฤดูกาลนี้ ได้ทำผิดกฎการเงิน PSR มานานแล้ว แต่การตัดสินที่ไร้กรอบเวลา นั้นทำให้ล่าช้า และทำให้ผลการตัดสินว่าพวกเขาผิดจริง จึงออกมาช้ากว่าฤดูกาล 2022-23 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่พวกเขาทำผิดกฎ PSR จึงทำให้มีการประท้วงกันว่า ทำไมไม่ตัดสินให้จบในฤดูกาลที่เป็นจุดเกิดเหตุ เพื่อความเท่าเทียมกันกับทีมอื่น ๆ ในลีก

ล่าสุดที่กำลังสู้กับเรื่องนี้คือ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่พวกเขาได้ประกาศจุดยืนไปสด ๆ ร้อน ๆ ว่า “นี่คือการกระทำที่ไร้ความเป็นธรรม” ทำไมพวกเขาคิดแบบนั้น

ไม่เป็นธรรมอย่างไร

อย่างที่บอกว่าการตรวจสอบเรื่องการขาดทุนจะต้องเช็คสถิติ 3 ปีหลังสุดในพรีเมียร์ลีก “ย้ำว่าในพรีเมียร์ลีก” ซึ่งตอนนี้ เลสเตอร์ ไม่ได้อยู่ในพรีเมียร์ลีก แต่พวกเขาเล่นในเดอะ เเชมเปี้ยนชิพที่เป็นลีกรอง

ตามปกติแล้ว หากพูดให้เข้าใจง่ายๆ หน่วยงานในการดูแลทีมในพรีเมียร์ลีก เป็นหน้าที่ของ EPL ขณะที่หน่วยงานที่ดูแลการแข่งขันในลีกพระรองทั้งหมดของอังกฤษ เป็นหน้าที่ของ EFL ดังนั้น ปัจจุบัน เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เล่นอยู่ในลีกแชมเปี้ยนชิพ จึงอยู่ภายใต้การดูเเลของ EFL

ดังนั้นการที่พรีเมียร์ลีกใช้กฎ PSR มาตัดสิน เลสเตอร์ ในลีกรอง จึงเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตที่ฝั่ง เลสเตอร์ มองว่าอาจจะเป็นการกลั่นแกล้ง และการตั้งใจ “เอากันให้ตาย” แบบข้ามกฎเกณฑ์ที่ทาง พรีเมียร์ลีกเองนั่นแหละเป็นคนตั้งไว้ มันเลยเป็นคำถามที่ว่า ทำไมถึงมีการดำเนินการข้ามองค์กรแบบนี้

สรุปประเด็นสื่อสาร จะเห็นได้ว่า เลสเตอร์ ประคับประคองบัญชีของพวกเขาจนแทบไม่ได้กระดิกเสริมทัพเท่าที่เงินตัวเองมีเลยด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าส่งผลถึงการตกชั้นเลยทีเดียว

ยิ่งในฤดูกาล 2023-24 หรือฤดูกาลปัจจุบัน จะยิ่งเห็นภาพความพยายามในการแก้ไขบัญชีติดลบของสโมสรชัดยิ่งกว่า โดยในฤดูกาลนี้ใน เเชมเปี้ยนชิพ เลสเตอร์ ปล่อยนักเตะที่ขายได้ราคาสูงอออกจากทีมไปถึง 2 คนได้แก่ เจมส์ แมดดิสัน ฮาร์วีย์ บาร์นส์ และ ทิโมธี่ คาสตาญ ออกไปจากนี้ โดยได้เงินรวมระดับ 100 ล้านปอนด์จาก 3 รายนี้

เลสเตอร์ ซิตี้

นอกจากนี้ นักเตะค่าเหนื่อยเเพง ๆ ที่ออกไปจากทีมนอกจาก 3 คนที่กล่าวไป ก็ยังมีอีกเยอะที่ทีมได้ระบายเพื่อลดรายจ่ายของทีม อาทิ ยูริ ติเลอมองส์ ไรอัน เบอร์ทรานด์, จอนนี่ อีแวนส์, คักลาร์ โซชุนชู และ อโยเซ่ เปเรซ

เรียกได้วา เลสเตอร์ ปล่อยสตาร์ดังไปเกือบหมดทีมในซีซั่นนี้ เพื่อประคองบัญชีของตัวเองไปพร้อม ๆ กับการบริหารสโมสรเพื่อไปอยูในความสำเร็จในระยะยาว ซึ่งหลายคนก็ราคาถูกมาก บางรายก็ยืมตัวจากทีมอื่นมาใช้

ดังนั้น หากมีการปิดงบประมาณประจำปีของสโมสรในปีนี้ พวกเขาก็อาจจะไม่ต้องโดนตัดสินว่าผิดแบบนี้ก็ได้

ยิ่งมีการแก้กฎหมายให้จบใน 12 สัปดาห์ ยิ่งทำให้เรื่องแบบนี้ไปกันใหญ่ เพราะเหมือนกับการเร่งรัดการตรวจสอบ และสอบสวน ในขณะที่ เลสเตอร์ ต้องรับกรรมไปเต็ม ๆ  เนื่องจากไม่สามารถเอาอะไรมายืนยันความบริสุทธิ์ได้เลย เพราะพวกเขาเองก็คาดหวังว่า ตัวเลขในปีงบประมาณของฤดูกาล 2023-24 จะเป็นกุญแจหลักในการปราบกฎนี้

เพราะถ้าพวกเขาสามารถเลื่อนชั้นไปได้ ด้วยการใช้งบประมาณน้อยนิดขนาดนี้ ในฤดูกาลหน้า พวกเขาก็จะได้เงินสนับสนุน และเงินค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ที่จะบวกมาอีกเน้น ๆ การันตีมากกว่า 100 ล้านปอนด์แน่นอน ซึ่งจุดนี้จะเข้ามาช่วยแก้ตัวเลขในบัญชีได้เน้น ๆ และส่งผลต่อการสร้างทีมในระยะยาวด้วย

ทั้งหมดนี้ จึงเป็นเหตุผลที่ เลสเตอร์ มองว่าพรีเมียร์ลีกตรวจสอบข้อกล่าวหาทั้งหมดแบบไม่เป็นธรรม ยิ่งมีทีมอย่าง แมนฯ ซิตี้ ที่มีข้อกล่าวหาเรื่องการผิดฎการเงิน ถึง 115 กระทง กลับยังไม่โดนลงโทษจาก พรีเมียร์ลีก เลยสักครั้ง

“ผมประหลาดใจมากที่พรีเมียร์ลีกดำเนินการต่อเลสเตอร์ ซิตี้ ทั้ง ๆ ที่เลสเตอร์ไม่ได้เล่นในพรีเมียร์ลีกแล้ว โดยฟุตบอลลีกกลับให้ความร่วมมือที่จะลงโทษเราด้วย การกระทำของพรีเมียร์ลีกและฟุตบอลลีกไม่เป็นธรรมและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เลสเตอร์ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีมาโดยตลอด” นี่คือถ้อยแถลงส่วนหนึ่งของ อัยยวัฒน์ ประธานสโมสรเลสเตอร์

เลสเตอร์ ซิตี้

เช่นเดียวกับ นายโจนาธาน แอชเวิร์ธ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมืองเลสเตอร์ ออกจดหมายเปิดผนึกถึงประธานเจ้าหน้าที่บริหารของพรีเมียร์ลีก ตั้งคำถามต่อการดำเนินการของพรีเมียร์ลีก ต่อสโมสรเลสเตอร์ซิตี้ว่า ไม่มีความโปร่งใส และไม่เป็นธรรม

“เพื่อความโปร่งใส เราขอให้พรีเมียร์ลีกอธิบายขั้นตอนในการพิจารณาของคณะกรรมการอิสระจะเป็นอย่างไร การกำหนดบทลงโทษจะเป็นไปอย่างยุติธรรมและเหมาะสมหรือไม่ และแฟนบอลจะมั่นใจได้อย่างไรว่ากระบวนการนี้มีความยุติธรรมจริง พรีเมียร์ต้องตอบคำถามว่า ได้ดำเนินการให้มีบทลงโทษอย่างเร่งด่วนต่อสโมสรอื่นในพรีเมียร์ลีกที่โดนตั้งข้อหาการผิดกฎทางการเงินนี้เช่นเดียวกับที่ทำกับเลสเตอร์ด้วยหรือไม่”

มาตรฐาน ทีมใหญ่-ทีมเล็ก?

กรณีของเลสเตอร์นั้น ต่างจากสองทีมดังอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี ที่ถูกพรีเมียร์ลีกสอบสวน และเรื่องราวของสองทีมนั้นยังคาราคาซัง โดยทั้งแมนฯ ซิตี้ กับเชลซี พวกเขาถูกตั้งข้อหา ไม่สามารถอธิบายที่มาของรายได้อย่างชัดเจนได้ จนมีข้อสงสัยว่า เจ้าของทั้ง 2 ทีมได้ใช้เงินส่วนตัว อัดฉีดเข้าไปโดยตกแต่งบัญชีให้เป็นรายได้จากผู้สนับสนุนหรือไม่

เคสของทีมเรือใบสีฟ้านั้น ถูกตั้งข้อสงสัยมาอย่างยาวนาน ซึ่งแม้พวกเขาจะรอดคมดาบของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า มาได้ เนื่องด้วยขอบเขตของเวลาที่ล่วงเลยมานาน และการได้มาของหลักฐานซึ่งไม่ถูกตามหลักการ แต่การสอบสวนของพรีเมียร์ลีก ไม่มีกำหนดอายุความไว้ อีกทั้งยังมีข้อหาถึง 115 กระทง

ขณะที่ฝั่งสิงห์บลูส์ กลุ่มทุนเจ้าของปัจจุบัน ถึงกับเป็นคนที่ยื่นเรื่องให้มีการสอบสวนเองเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากพวกเขาเพิ่งซื้อกิจการมาจากเจ้าของคนเดิมชาวรัสเซียเมื่อปี 2022 ซึ่งเจ้าของคนเดิมนั้น ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็น “โอลิการ์ก” อภิมหาเศรษฐี นักธุรกิจที่คาดว่ามีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน

แต่เหนือสิ่งอื่นใด นี่คือช่องโหว่ ที่ไม่เป็นธรรมสำหรับเลสเตอร์ ซิตี้ เพราะหากเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับกฎทางการเงิน ทั้งหมดทั้งมวล ควรอยู่บนมาตรฐานที่เท่าเทียมกัน แต่อย่างที่บอกไปว่า กรณีของเลสเตอร์ ซิตี้ กลับถูกตัดสินอย่างรวดเร็ว ทั้งที่เป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับ PSR ขณะที่ทีมใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเชลซี พรีเมียร์ลีกกลับให้ช่องโหว่ในเรื่องที่ไม่มีกำหนดอายุความ นั่นจึงเป็นสิ่งที่ถูกตั้งคำถามมากพอสมควร

เลสเตอร์ ซิตี้

เกมรุมกินโต๊ะ

ถึงตอนนี้ ก็เหมือนกับการรุมกินโต๊ะแล้ว เพราะมีการพยายามแก้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อพยายามเช็คบิล เลสเตอร์ ซิตี้ ให้ได้ แม้พวกเขาจะเล่นอยู่ในลีกรอง ที่ทาง EPL (พรีเมียร์ลีก) ไม่สามารถล้ำเส้นเข้ามาตัดสินพวกเขาได้

แต่ EPL ก็กระตุ้น และกระตุกให้ทาง EFL ที่เป็นสมาคมที่คอยดูแลฟุตบอลตั้งแต่ดิวิชั่น 2 (เดอะ เเชมเปี้ยนชิพ) เป็นต้นไป เข้ามาช่วยจัดการลงดาบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพื่อให้ เลสเตอร์ ทีมของ “คนไทย” หรือ “ชาวเอเชีย” ที่หลายฝ่ายกำลังมองว่า เป็นเป้า และถูกเพ่งเล็งมากเป็นพิเศษ แม้ทางสโมสรจะให้ความร่วมมือในการตรวจสอบข้อมูล และตัวเลขในบัญชีก็ตาม

จนกลายเป็นมุมมองที่โลกโซเชียลแสดงความเห็นกันอย่างมากว่า ทาง EPL ใช้ดับเบิล สเเตนดาร์ด กับทีมที่มีเจ้าของเป็นคนเอเชียเพียงเท่านั้นหรือ ก็ไม่ต่างอะไรกับการรณรงค์ STOP RACISM ที่รณรงค์กันทั่วโลก แต่พรีเมียร์ลีก กลับทำแบบนี้เสียเอง

ในวันที่พรีเมียร์ลีกเอากฏ PSR มาใช้ในปี 2013 เดวิด โกลด์ ประธานสโมสรของ เวสต์แฮม ถึงกับหลุดพูดออมากว่า “บางสโมสรโดยเฉพาะทีมเล็ก ๆ มีความกังวลกับกฎเล็กนี้ในตอนที่เปิดโหวต แต่คนส่วนใหญ่โหวตเห็นชอบ”

ตอนนี้ทีมเล็ก ๆ อย่าง เอฟเวอร์ตัน หรือ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ที่โดนตัดแต้มไปแล้ว ก็น่าจะรู้สึกแบบนั้น เพราะพวกเขาโดนกฎนี้โจมตีแบบไม่ตั้งตัว และไม่มีเวลาให้เตรียมหลักฐานที่มีความหนักแน่นมากพอมาแก้ต่างได้เลย

ขณะที่ทีมใหญ่ ๆ หลายทีมในพรีเมียร์ลีกนั้นใช้เงินมากมาย อาทิ แมนฯ ซิตี้ ที่มีปัญหาเรื่องการตบแต่งบัญชีมากมายไม่หวาดไม่ไหว หรือ เชลซี กับโปรเจกต์พันล้านของ ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ กลับไม่โดนตอแย แบบเล่นไม่เลิกเลย

แน่นอนว่าการมีกฎเป็นเรื่องที่ดี แต่การเอากฎมาใช้แต่ละครั้ง ต้องใช้บรรทัดฐานในทางเดียวของทุกคน ทุกชนชั้นในสังคม ไม่ใช่ไล่สอยกันแบบหายใจรดต้นคอ แบบก็จะเอาให้ร่วงโดยเร็วที่สุด ทั้ง ๆ ที่สโมสรพยายามให้ความร่วมมือกับทางพรีเมียร์ลีกมาตลอด แต่ตอนสุดท้ายของเรื่องพวกเขากลับถูกช่องโหว่ของกฎที่เกิดขึ้นเล่นงานเป็นพิเศษ

เลสเตอร์ ซิตี้

เมื่อเป็นเช่นนี้สโมสรจึงประกาศต่อสู้ถึงที่สุดเพื่อยืนยันว่า พวกเขากำลังให้ความสำคัญกับเรื่องกฎการเงินอย่างยิ่งยวด และไม่ได้ผิดกฎ PSR เมื่อการสรุปปีงบประมาณในซีซั่นนี้มาถึง

นี่คือมุมมองของฝั่ง เลสเตอร์ ซิตี้ พร้อมทั้งแฟนบอลชาวไทย ที่พวกเขาก็ต้องการคำตอบดี ๆ จากทางพรีเมียร์ลีก หรือทาง EFL เช่นกันว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเขาใช้ไม้บรรทัดเดียวกันในการวัดและตัดสินทุก ๆ ทีมหรือไม่ และเป็นการเลือกปฏิบัติด้านเชื้อชาติหรือไม่

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

เว็บไซต์: https://www.thebangkokinsight.com/
Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
X (Twitter): https://twitter.com/BangkokInsight
Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg

Avatar photo