ดร.อนันต์ ชี้ “สารให้ความหวานเสี่ยงมะเร็ง” ข้อมูลน้อย ไม่ชัดเจน กระทบทั้งผู้บริโภค ผู้ผลิต อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana โดยระบุว่า ประเด็นเรื่องของการจัดสารให้ความหวานแทนน้ำตาล (Aspartame) ที่พบในน้ำอัดลม Diet ว่าเป็นสารที่อาจก่อมะเร็ง กำลังจะเป็นเรื่องถกเถียงในวงการวิทยาศาสตร์
แน่นอน ทั้ง 2 ฟากของความเห็นทั้งเห็นพ้องและเห็นแย้ง ต่างมีข้อมูลวิชาการ เป็นการถกเถียงกันด้วยข้อมูล ซึ่งแน่นอนผลสรุปที่ได้ออกมาย่อมมีผลกระทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมุมของผู้ผลิตและ ผู้บริโภค
จัดสารเข้าข่ายก่อมะเร็งออกเป็น 4 ระดับ
หน่วยงานของ WHO ที่ทำหน้าที่จัดสารเข้าข่ายก่อมะเร็งชื่อว่า International Agency for Research on Cancer (IARC) จะจัดสารดังกล่าวออกมาเป็น 4 ระดับคือ
- 3: No evidence it causes cancer
- 2b: Possibly (some evidence, usually slim) it causes cancer
- 2a: Probably (some evidence, a bit more robust) it causes cancer
- 1: Causes cancer (strong evidence)
ข้อมูลรองรับน้อย ไม่ชัดเจน
โดยสารให้ความหวานอยู่ในระดับ 2b คือ อาจจะเป็นสารก่อมะเร็ง แต่ข้อมูลรองรับยังมีอยู่ไม่มาก โดยตัวอย่างของสารที่ IARC จัดให้อยู่ category 2b เช่น
- Coconut oil soaps (สบู่น้ำมันมะพร้าว)
- Nickel (โลหะนิเกิล)
- Sassafras oil (น้ำมันหอมระเหยชนิดนึง)
- Aloe vera (ว่านหางจระเข้)
- Bracken fern (เฟิร์นกูดเกี๊ยะ)
- Pickled vegetables (ผักดอง)
- Talcum powder (แป้งทัลคัม)
หลายคนเชื่อว่า สาร 2b หลายตัวมีใช้กันมาเป็นเวลานานมาก และ ความเชื่อมโยงกับการก่อมะเร็งยังไม่ชัดเจน ทำให้การนำข้อมูลที่มีไม่มากไปสรุปอะไรใหญ่ๆ อย่างให้ความรู้สึกต่อผู้บริโภคว่าประหนึ่งเป็น “สารก่อมะเร็ง” Category 1 ซึ่งมีผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เริ่ม 1 เม.ย.นี้ กรมสรรพสามิต เตรียมเก็บ ‘ภาษีความหวาน’ พร้อมปรับขึ้นอัตราก้าวหน้าทุก 2 ปี
- สธ.เตรียมขยับเกณฑ์ความหวาน สัญลักษณ์ ‘ทางเลือกสุขภาพ’ จาก 6% เหลือ 5% ลดคนไทยติดหวาน
- ห่วง ‘เด็กไทยติดน้ำอัดลม-ชานมไข่มุก’ กรม สบส. แนะ ‘สุขบัญญัติ’ ปรับพฤติกรรม ลดหวาน ลดอ้วน