Economics

‘กกพ.’ ชง 3 ทางเลือกขึ้นค่าเอฟทีงวด ม.ค.-เม.ย. คาดแตะ 5.37-6.03 บาท

“กกพ.” บริหารต้นทุน ชง 3 ทางเลือกปรับขึ้นค่าเอฟทีงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าแตะ 5.37 ถึง 6.03 บาทต่อหน่วย พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็น ตั้งแต่วันนี้ ถึง 27 พฤศจิกายน 2565

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ. ในการประชุมครั้งที่ 51/2565 (ครั้งที่ 818) เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 มีมติรับทราบภาระต้นทุนค่าเอฟทีประจำรอบพฤษภาคม-สิงหาคม 2565 และเห็นชอบผลการคำนวณประมาณค่าเอฟทีสำหรับงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 พร้อมให้สำนักงาน กกพ. นำค่าเอฟทีประมาณการและแนวทางการจ่ายภาระต้นทุนคงค้างที่ กฟผ. แบกรับในกรณีต่าง ๆ ดังนี้

กกพ.

กรณีที่ 1 ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 จำนวน 224.98 สตางค์ต่อหน่วย แบ่งเป็นเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือนมกราคม-เมษายน 2566 จำนวน 158.31 สตางค์ต่อหน่วย และเงินทยอยเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงบางส่วน 66.67 สตางค์ต่อหน่วยเพื่อให้ กฟผ. ได้รับเงินคืนครบภายใน 1 ปี โดย กฟผ. จะต้องบริหารภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงแทนประชาชนจำนวน 81,505 ล้านบาท ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6.03 บาทต่อหน่วย

กรณีที่ 2 ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 จำนวน 191.64 สตางค์ต่อหน่วย แบ่งเป็นเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือนมกราคม-เมษายน 2566 จำนวน 158.31 สตางค์ต่อหน่วย และเงินทยอยเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงบางส่วน 33.33 สตางค์ต่อหน่วยเพื่อให้ กฟผ. ได้รับเงินคืนครบภายใน 2 ปี โดย กฟผ. จะต้องบริหารภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงแทนประชาชนจำนวน 101,881 ล้านบาท ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.70 บาทต่อหน่วย

กรณีที่ 3 ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 จำนวน 158.31 สตางค์ต่อหน่วย โดย กฟผ. จะต้องรับภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงแทนประชาชนจำนวน 122,257 ล้านบาท ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.37 บาทต่อหน่วย

S 117702721 e1668413670146

นายคมกฤช กล่าวว่า การประมาณการค่าไฟฟ้าดังกล่าวเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเรื่อง กระบวนการ และขั้นตอนการใช้สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ โดยมีสมมุติฐานและปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟทีในรอบเดือนมกราคม-เมษายน 2566 ตามผลการคำนวณของ กฟผ. ประกอบด้วย

1. การจัดหาพลังงานไฟฟ้าในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน 2566 เท่ากับประมาณ 67,833 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 3,724 ล้านหน่วยจากประมาณการงวดก่อนหน้า (เดือน ก.ย.-ธ.ค. 2565) ที่คาดว่าจะมีการจัดหาพลังงานไฟฟ้าเท่ากับ 64,091 หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 5.84%

2. สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน 2566 ยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก 54.20% ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด นอกจากนี้เป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (ลาวและมาเลเซีย) รวม 13.81% และ ลิกไนต์ของ กฟผ. 8.46% เชื้อเพลิงถ่านหินนำเข้าโรงไฟฟ้าเอกชน 6.25% พลังน้ำของ กฟผ. 3.48% น้ำมันเตา (กฟผ. และ IPP) 0.73% น้ำมันดีเซล (กฟผ. และ IPP) 6.31% และอื่น ๆ อีก 6.75%

3. ราคาเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณค่าเอฟทีเดือนมกราคม-เมษายน 2566 เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการในเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 โดยราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า และราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นมากจากรอบเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 โดยที่เชื้อเพลิงอื่น ๆ มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยและคงที่ ดังที่แสดงในตาราง

กกพ.

4. อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ใช้ในการประมาณการ ซึ่งใช้อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 1 เดือนย้อนหลังก่อนทำประมาณการ (1-30 ก.ย. 65) เท่ากับ 37.00 บาทต่อดอลลาร์ อ้างอิงข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นฐานซึ่งอ่อนค่าลงจากประมาณการในงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 ที่ประมาณการไว้ที่ 34.40 บาทต่อดอลลาร์ อยู่ 2.60 บาทต่อดอลลาร์ (เพิ่มขึ้น 7.75%)

สถานการณ์ค่าไฟฟ้าในประเทศไทยยังคงอยู่ในสภาวะที่อ่อนไหวและยังคงผันผวนอยู่ในระดับราคาที่สูงตามสถานการณ์ราคา LNG และราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยมีปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าและค่าเอฟทีเรียกเก็บตลอดปี 2566 ดังนี้

กกพ.

  1. ความไม่แน่นอนของก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยและแนวโน้มที่จะสามารถจ่ายก๊าซจากแหล่งเอราวัณเข้าสู่ระดับปกติหรือใกล้เคียงปกติเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการนำเข้า LNG มาทดแทน
  2. การลดลงของแหล่งก๊าซธรรมชาติทางตะวันตก (ในเมียนมา) โดยอาจจะต้องนำก๊าซธรรมชาติเหลวหรือ LNG เข้ามาทดแทนในปริมาณมากขึ้นเพื่อทดแทนหรือหาแหล่งพลังงานรูปแบบอื่น เช่น พลังน้ำหรือ พลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ เข้ามาทดแทน
  3. สภาวะราคา LNG ในตลาดโลกมีการแกว่งตัวในระดับที่สูงถึงสูงมากเนื่องจากอุปสงค์ (Demand) ของ LNG ในตลาดโลกยังคงมีมากกว่าอุปทาน (Supply) และตลาดอาจจะมีลักษณะดังกล่าวต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2566 อันเป็นผลต่อเนื่องจากที่ยุโรปลดการนำเข้าก๊าซทางท่อจากรัสเซียและหันไปซื้อ LNG ในตลาดจรแทนและการทยอยพื้นตัวทางเศรษฐกิจของหลาย ๆ ประเทศหลังวิกฤต Covid-19 ส่งผลต่อความต้องการใช้พลังงานที่สูงขึ้นรวมทั้งประเทศไทย
  4. อัตราแลกเปลี่ยน (ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ) ยังคงอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องและส่งผลต่อราคาเชื้อเพลิงและค่าความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้า กฟผ. และ IPP ทีเพิ่มขึ้น
  5. การใช้นำมันดีเซลและน้ำมันเตาเพื่อทดแทนก๊าซธรรมชาติสามารถลดการนำเข้า LNG ได้แต่การใช้น้ำมันยังคงมีผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าในระดับสูงเมื่อเที่ยบกับสถาณการณ์ปกติ
  6. ข้อจำกัดด้านสถานะทางการเงินและสภาพคล่องของ กฟผ. เป็นอีกสาเหตุที่อาจทำให้ไม่สามารถตอบสนองภาคนโยบายในการตรึงค่าเอฟทีได้ในระยะยาว

สำนักงาน กกพ. จึงขอเรียกร้องให้มีการมีการบริหารการใช้ไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถใช้พลังงานที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทางเศรษฐกิจ ลดการนำเข้า LNG หรือลดการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าด้วยน้ำมันเพื่อให้สามารถบริหารและสามารถควบคุมต้นทุนราคาเชื้อเพลิง ซึ่งจะทำให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตราคาพลังงานและฟื้นฟูเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

นายคมกฤช ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า กกพ ในการประชุมครั้งที่ 51/2565 (ครั้งที่ 818) เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 ได้พิจารณาทบทวนอัตราค่าบริการรายเดือนที่ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในระหว่างวันที่ 3-17 ตุลาคม 2565 แล้ว เห็นชอบให้มีการปรับอัตราค่าบริการรายเดือนลดลงสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้า 3 ประเภท ดังนี้

กกพ.

ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. จะเร่งดำเนินการประสานการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายเพื่อให้การปรับลดอัตราค่าบริการรายเดือนให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตพลังงานให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยและประเภทกิจการขนาดเล็กอีกทางหนึ่งด้วย

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo