Economics

‘กอบศักดิ์’ เตือน! เตรียมรับมือ ‘วิกฤติซ้อนวิกฤติ’ ฉุด ‘เศรษฐกิจไทย-เศรษฐโลก’ ถดถอย ลากยาว 2 ปี

“กอบศักดิ์” เตือน เตรียมพร้อมรับมือ “เศรษฐกิจไทย-เศรษฐกิจโลก” เจอวิกฤติซ้อนวิกฤติ ไทยมีแนวโน้มเห็นผลกระทบชัดเจน 1-2 ปีข้างหน้า 

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ในปัจจุบันแม้สถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลง แต่เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงในหลายด้าน ถือเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติ ที่แต่ละประเทศต้องเตรียมการรับมือ ได้แก่ วิกฤติความขัดแย้งระหว่างประเทศ วิกฤติราคาพลังงานและอาหารโลก ความปั่นป่วนของตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก

ขณะที่การเร่งการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อต้อสู้กับเงินเฟ้อ ส่งผลให้ธนาคารกลางหลายประเทศ ต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นจนเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ตามมาทั้งในสหรัฐ และประเทศอื่น รวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤติในประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) และปัญหาของเศรษฐกิจจีนที่มีสัญญาณการชะลอตัว

เศรษฐกิจไทย

เศรษฐกิจไทย เจอผลกระทบชัดเจน 1-2 ปี ข้างหน้า

วิกฤติเศรษฐกิจในระดับโลกที่เกิดขึ้น จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจนในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่จะชะลอตัวลง จากเดิมที่เคยขยายตัวได้ในระดับ 20% ในปี 2564

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในขณะนี้ได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวในภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปีนี้ไปจนถึงต้นปี 2566 จะเพิ่มมากขึ้น จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยเดือนละประมาณ 1 ล้านคน โดยรวมจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามายังประเทศไทยประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยภาพรวม เนื่องจากมีสัดส่วนประมาณ 10% ของจีดีพี

เมื่อการท่องเที่ยวฟื้นตัวและส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภาพรวม จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่คาดว่า ภายในปีนี้จะมีการทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% เป็นจำนวน 3 ครั้ง รวมแล้วคาดว่า จะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น 0.75% ภายในสิ้นปีนี้ ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับเพิ่มขึ้นจาก 0.5% ในปัจจุบันเป็น 1.25%

การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อ และช่วยชะลอการลดลงของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ลดลงจากระดับ 2.6 แสนล้านดอลลาร์ มาสู่ระดับ 2.15 แสนล้านดอลลาร์ หรือลดลงประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา

“ตัวเลขเงินเฟ้อ เป็นตัวเลขที่แบงก์ชาติต้องจับตาดู เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเรื่องการปรับดอกเบี้ย โดยเงินเฟ้อในส่วนที่เป็นเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนที่ผ่านมาของไทยอยู่ที่ 7.66% แต่เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ของไทยอยู่ที่ 2.58% ถือว่าไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงนัก” 

“การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติอีก 0.75% เพื่อให้ดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ระดับ 1.25% ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 คาดว่าเป็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ จากนั้นก็จะต้องดูปัจจัยอื่น ๆ ทั้งในและต่างประเทศ แต่คาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยคงเกิดขึ้นต่อไปอีกระยะ” 

ในส่วนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดที่เคยขึ้นไปถึง 130-140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 90 -100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากขณะนี้บางประเทศได้มีการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย รวมทั้งมีความกังวลในเรื่องของเศรษฐกิจถดถอย และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ที่ทำให้ราคาน้ำมันลดลง

การปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจัยการเก็งกำไรลดลงไป ซึ่งราคาน้ำมันที่ลดลงก็ส่งผลดีต่อระดับเงินเฟ้อที่ลดลง และช่วยให้การต่อสู้กับเงินเฟ้อของเฟด และธนาคารกลางทั่วโลกง่ายขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้

เศรษฐกิจไทย
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล

วิกฤติซ้อนวิกฤติ ลากยาว 2 ปี 

นายกอบศักดิ์ ยังกล่าวด้วยว่า ในช่วงเวลาที่มีวิกฤติซ้อนวิกฤติเกิดขึ้นในรอบนี้ จะกินระยะเวลาประมาณ 2 ปี และมีช่วงเวลาในการเผชิญกับวิกฤติรวมทั้งต่อสู้กับวิกฤติเศรษฐกิจแบ่งเป็น 4 ช่วง ได้แก่

  • ช่วงแรก เป็นช่วงที่ตลาดหุ้น และสินทรัพย์เสี่ยง ปรับฐานรุนแรง
  • ช่วงที่สอง คือการที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ
  • ช่วงที่สาม เป็นช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และเกิดวิกฤติในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายประเทศ
  • ช่วงที่สี่ เป็นช่วงสุดท้ายที่กำลังจะผ่านวิกฤติเศรษฐกิจ คือเป็นช่วงที่เฟด และธนาคารกลางประเทศต่างๆ ออกมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่

สำหรับโอกาสของประเทศไทยในช่วงเวลานี้ ภาครัฐสามารถสนับสนุนการลงทุนในหลายด้าน เพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประเทศ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์-มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน ระบบโลจิสติกส์สมัยใหม่ ภาคเกษตรและอาหารแห่งอนาคต อุตสาหกรรมปุ๋ยเพื่อทดแทนการนำเข้า

ส่วนในแง่ของประชาชน หรือนักลงทุนบุคคลทั่วไป ต้องติดตามข่าวสาร และประเมินสถานการณ์ในแต่ละช่วงของวิกฤติ โดยหากสามารถประเมินได้อย่างถูกต้อง ก็สามารถที่จะเก็บออมเงินสดบางส่วนไว้ เพื่อรอการลงทุนในรอบใหม่ ภายหลังจากที่วิกฤติต่าง ๆ เริ่มคลี่คลาย

การลงทุนในช่วงหลังวิกฤติถือเป็นการลงทุนในช่วงเวลาที่ดี ที่มีโอกาสสดใสในอนาคตรออยู่

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo