Economics

‘ม.หอการค้า’ คาดเปิดเทอมปี 66 เงินสะพัด 5.7 หมื่นล้านบาท สูงสุดในรอบ 14 ปี

“ม.หอการค้า” คาดเปิดเทอมปี 66 เงินสะพัด 57,885.63 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 14 ปี แนะรัฐบาลชุดหน้า ควรเน้นเรื่องการปฏิรูประบบการศึกษาให้ได้ประโยชน์สูงสุด

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลกระทบของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอมปี 66 พบว่า การจับจ่ายใช้สอยของผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอมปี 66 นี้ จะมีมูลค่าการใช้จ่ายรวม 57,885.63 ล้านบาท ขยายตัวจากปี 62 ที่ 5.30% โดยในปีนี้ถือว่ามีมูลค่าการใช้จ่ายสูงสุด นับตั้งแต่หอการค้าทำการสำรวจมา (ในรอบ 14 ปี) ส่วนค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของปี 66 อยู่ที่ 19,507.33 บาท/คน เพิ่มขึ้น 6.6% จากปี 62 ที่มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 18,299.94 บาท/คน

เปิดเทอม

สะพัดสูงสุดในรอบ 14 ปี

“การใช้จ่ายฟื้นตัวจากปีที่แล้ว และฟื้นตัวจากปี 62 และปรับตัวดีสุดในรอบ 14 ปี ดังนั้น ในไตรมาสที่ 1-2/66 เศรษฐกิจฟื้น แต่ฟื้นแบบ K-shape คนยังระมัดระวังจากการจับจ่ายใช้สอย เพราะบางกลุ่มมีเงินพร้อมใช้ แต่บางกลุ่มยังได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพสูง จากผลสำรวจพบว่า 37.8% ผู้ปกครองใช้จ่ายเท่าเดิม และ 29.9% ใช้จ่ายมากขึ้น โดยปัจจัยของการใช้จ่ายที่มากขึ้น หลักๆ มาจากราคาสินค้าที่แพงขึ้น” นายธนวรรธน์ กล่าว

ทั้งนี้ พบว่าผู้ปกครอง 36.5% ระบุว่า มีเงินไม่พอใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอม จึงมีการเบิกเงินจากบัตรเครดิต/ บัตรกดเงินสดมากขึ้น รองลงมา คือจำนำทรัพย์สิน กู้เงินในระบบ และยืมญาติพี่น้อง ตามลำดับ ในส่วนของผู้ที่ตอบว่าเงินมีเพียงพอใช้จ่าย อยู่ที่ 63.5% หรือสูงสุดนับตั้งแต่ปี 59 เป็นต้นมา

เปิดเทอม
นายธนวรรธน์ พลวิชัย

“36.5% ที่บอกว่าเงินไม่พอ ได้มีการกู้เงินในระบบและนอกระบบ ซึ่งนอกระบบมีประมาณ 7% ซึ่งถือว่าไม่มาก ทั้งนี้ ไม่ได้มองว่าเศรษฐกิจไม่ดี หรือจะกลายเป็นปัญหาเพิ่มหนี้สินในระยะยาว เพราะเป็นเพียงการหมุนเวียนเงินในช่วง 2-3 เดือนเท่านั้น และสัดส่วนผู้ปกครองที่ตอบว่ามีเงินไม่เพียงพอ ถือว่าต่ำสุดในรอบ 8 ปี หรือตั้งแต่ปี 59” นายธนวรรธน์ กล่าว

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า จากการเลือกตั้งล่วงหน้าวานนี้ (7 พ.ค.) จะเห็นได้ว่า มีประชาชนออกมาใช้สิทธิจำนวนมาก ดังนั้น เชื่อว่าการเลือกตั้งที่จะถึงในวันที่ 14 พ.ค. นี้ จะมีบรรยากาศคึกคัก และคาดว่าจะมีผู้ออกมาใช้สิทธิมากกว่า 60%

รัฐบาลใหม่มีภาระเชิงเศรษฐกิจสำคัญ 3 ประเด็น คือ 

  1. ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวในเวลาอันรวดเร็ว
  2. เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจและสังคมไทย
  3. ทำให้ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้ และทำให้คนมีรายได้เพิ่มขึ้น

เปิดเทอม

จากการสำรวจของ International Institute for Management Development (IMD) และ World Economic Forum (WEF) พบว่า ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับปานกลาง โดยจุดที่มีความเปราะบางสูง คือ โครงสร้างพื้นฐาน ระบบการศึกษา วิทยาศาสตร์ และประสิทธิภาพของแรงงาน ซึ่งประเด็นเรื่องการศึกษา คือการตอบโจทย์ปัญหาในระยะปานกลาง-ระยะยาว

เน้นเรื่องการปฏิรูประบบการศึกษา

ดังนั้น รัฐบาลชุดหน้า ควรเน้นเรื่องการปฏิรูประบบการศึกษาให้ได้ประโยชน์สูงสุด เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกันประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หรือจะมีผู้เสียภาษีน้อยลง จึงต้องเพิ่มทักษะแรงงานโดยเร่งด่วน ด้วยการปรับปรุงระบบการศึกษา

จากการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายพรรคการเมืองด้านการศึกษา พบว่า กว่า 80% เห็นด้วยมากกับนโยบายโครงการให้อาหารฟรีให้กับเด็กนักเรียน และนโยบายกำจัดระบบแป๊ะเจี๊ยะ และกว่า 70% เห็นด้วยมากกับนโยบายมีโรงเรียน 2 ภาษาในทุกท้องถิ่น และนโยบายเรียนฟรีจนจบปริญญาตรี ขณะที่กว่า 60% เห็นด้วยมากกับนโยบายสร้างเด็กไทย 3 (ภาษาไทย/ ต่างประเทศ/ Coding) และกว่า 50% เห็นด้วยมากกับนโยบายยกเลิกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo