สนค.วิเคราะห์การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ย 345 บาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 2.37% มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อไม่มากแค่ 0.13-0.25% และไม่ได้มีผลให้สินค้าและบริการสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำโดยคณะกรรมการค่าจ้างแบบไตรภาคี (หน่วยงานภาครัฐ นายจ้าง และลูกจ้าง) ต่ออัตราเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ พบว่า กรณีหากมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ย 345 บาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 2.37% จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นประมาณ 0.13–0.25% ขึ้นอยู่กับการใช้แรงงานเป็นต้นทุนการผลิตของแต่ละอุตสาหกรรม
สำหรับสินค้าที่มีต้นทุนด้านแรงงานสูง มีความจำเป็นที่ต้องบริหารจัดการต้นทุนมากขึ้น ขณะที่สินค้าที่มีการแข่งขันสูง การปรับขึ้นราคาสินค้าจะมีน้อย โดยผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการจะให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีลดต้นทุนด้านอื่น ๆ แทน การส่งผ่านไปยังเงินเฟ้ออาจจะน้อยกว่าที่คาดการณ์ด้วย
ขณะที่สินค้าและบริการที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูงสุด 5 อันดับแรก คือ กลุ่มอาหารสำเร็จรูป ข้าว การสื่อสาร ผักสด และผลไม้สด เนื่องจากมีสัดส่วนน้ำหนักค่อนข้างสูงในการคำนวณอัตราเงินเฟ้อ และเกี่ยวข้องกับภาคการผลิตที่ใช้แรงงานค่อนข้างเข้มข้น
การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ จะส่งผลให้อำนาจซื้อของแรงงานขั้นต่ำดีขึ้น และมีผลทำให้เงินเฟ้อในภาพรวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ถือว่าเป็นการปรับให้ทุกอย่างดีขึ้น
ส่วนความกังวลในเรื่องการปรับค่าจ้าง จะส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้นนั้น จากข้อเท็จจริง พบว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่ได้ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจในการดูแลราคาสินค้าและบริการให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรม ก็ได้มีการติดตามราคาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิดอยู่แล้ว”นายพูนพงษ์กล่าว
นายพูนพงษ์กล่าวว่า ในปี 2567 สนค.ได้คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2566 อยู่ระหว่างลบ 0.3% ถึง 1.7% ค่ากลางอยู่ที่ 0.7% โดยมีปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง เช่น มาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐที่คาดว่าจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มการปรับขึ้นราคาสินค้าสำคัญค่อนข้างจำกัด เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว และหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่สนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับเพิ่มขึ้น เช่น ราคาเนื้อสุกรที่คาดว่าจะกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการปรับค่าแรง และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง และเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2566 รวมถึงมาตรการเพิ่มรายได้และกำลังซื้อ
ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เช่น ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ค่าเงินบาทที่ผันผวน และมาตรการภาครัฐที่ส่งผลต่อราคาอาจมีหลากหลายรูปแบบ
นายพูนพงษ์กล่าวว่า ความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะเงินฝืดหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงในขณะนี้ พบว่า แม้เงินเฟ้อติดลบ 2 เดือนต่อเนื่องในเดือนตุลาคมและ พฤศจิกายน และมีแนวโน้มติดลบในเดือน ธันวาคม 2566 แต่ไม่ได้เป็นประเด็นที่น่ากังวล และไม่ได้เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากการลดลงของเงินเฟ้อ เป็นผลจากมาตรการภาครัฐที่ทำให้สินค้าสำคัญในกลุ่มพลังงาน ปรับตัวลดลง ประกอบกับอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากฐานที่สูงในปีก่อนหน้าเข้าสู่ระดับปกติ
นอกจากนี้ หากพิจารณาจาก 3 เงื่อนไขของการเข้าสู่ภาวะเงินฝืด พบว่า เงินเฟ้อไทยยังไม่ตรงทั้ง 3 เงื่อนไข ซึ่งประกอบด้วย
1. อัตราเงินเฟ้อติดลบเป็นเวลานานหรือประมาณ 1 ไตรมาส ซึ่งเงินเฟ้อไทยมีแนวโน้มติดลบ 1 ไตรมาส
2. อัตราเงินเฟ้อติดลบกระจายในหลาย ๆ หมวดสินค้าและบริการ โดยพบว่า ราคาสินค้าและบริการที่ลดลงมาจากมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ ในสินค้ากลุ่มพลังงานและค่ากระแสไฟฟ้า
3.อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจติดลบ และอัตราการว่างงานมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งเงื่อนไขข้อนี้ไม่สอดคล้องเช่นกัน เนื่องจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดการณ์ตัวเลขทางเศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 GDP ขยายตัว 2.5% และในปี 2567 ขยายตัว 2.7-3.7%
แม้ว่าภาวะเงินเฟ้อของไทยจะติดลบอย่างต่อเนื่อง ถือว่าไม่น่ากังวล แต่เป็นสัญญานบ่งชี้ว่าไทยกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อระดับต่ำ จากปี 2565 อยู่ระดับสูงที่ 6.08% หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องปรับนโยบายการเงินและการคลังที่เหมาะสมกับแนวโน้มเงินเฟ้อระดับต่ำต่อไป
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- หอการค้าฯ ออกแถลง หนุนปรับ ‘ค่าจ้างขั้นต่ำ’ ตามกฎหมาย
- เงินเฟ้อเดือน พ.ย. ร่วงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ต่ำสุดในรอบ 33 เดือน!
- ‘พิพัฒน์’ เตรียมนำ ‘ค่าแรงขั้นต่ำ’ ตัวเลขเดิมตามมติคณะกรรมการฯ เสนอครม. รับทราบ พรุ่งนี้