นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า ปัจจุบันตัวเลขยอดขายรอโอน (backlog) จากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ 16 บริษัท มียอดรวมอยู่ที่ 2.94 แสนล้านบาท
ในจำนวนนี้เป็นสินค้าแนวราบกลุ่มบ้านจัดสรรกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ที่เหลือเป็นสินค้าแนวสูง หรือคอนโดมิเนียมทั้งหมด กว่า 2.6 แสนล้านบาท โดยอีก 1.2 แสนล้านบาท เป็นโครงการของบริษัทร่วมทุนต่างชาติ และอีก 1.4 แสนล้านบาท เป็นสินค้าของบริษัทผู้ประกอบการไทย
นอกจากนี้ ยังมีอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดขายแล้วยังเหลือตกค้างเป็นสต็อกอยู่กว่า 5 แสนล้านบาท ถือเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก อาจต้องรออีกหลายปีกว่าจะเคลียร์สต็อกได้หมด เรียกได้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตโดยซ่อนปมสต็อกสินค้าเหลือขาย เป็นสต็อกบวมจากภายในจำนวนมาก
หากประเมินเป็นยอดสินค้าอสังหาริมทร้ัพย์ ที่เปิดขายสะสมในตลาดทั้งหมด ณ สิ้นไตรมาส1 มีรวมราว 8 แสน – 1 ล้านล้านบาท
ในจำนวนนี้หากการขายยังคงเติบโตต่อเนื่อง ก็ไม่มีปัญหา แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัว และแนวโน้มดอกเบี้ยกำลังเดินมาอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งหากดอกเบี้ยปรับขึ้น สต็อกอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากอาจเป็นปัญหาได้ อาจทำให้ยอดการโอนทำได้ยากขึ้น
แต่ถ้าหากดอกเบี้ยยังไม่ปรับตัวสูงขึ้นและมีเวลาเคลียร์สต็อกอีก 3-4 ปีก็จะไม่มีปัญหา
อย่างไรก็ดี อยากเตือนผู้ประกอบการ เรื่องการขยายโครงการลงทุนใหม่ว่า อย่าลืมพิจารณาเรื่องการเคลียร์สต็อกคงค้างด้วย
มั่นใจดอกเบี้ยไม่ขึ้นภายใน 2 ปี
ด้านนายณัฐพล ลือพร้อมชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์สินเชื่อที่อยู่อาศัย ปีที่ผ่านมาถือว่าเติบโต แต่เป็นการเติบโตจากการรีไฟแนนซ์ของลูกค้าแต่ละธนาคาร ซึ่งเท่ากับเป็นยอดเติบโตของสินเชื่อเก่าของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ โดยพบว่าเมื่อต้นปี สินเชื่อใหม่ติดลบ 9% แต่ในช่วงครึ่งปีหลังยอดสินเชื่อเติบโตถึง 26% ซึ่งมาทั้งจากสินเชื่อรีไฟแนนซ์ และสินเชื่อใหม่
นายณัฐพล ระบุด้วยว่า เรื่องสต็อกอสังหาริมทรัพย์รอขาย ไม่น่าห่วงมากนัก เพราะเชื่อว่า ภายใน 2 ปีนี้ อัตราดอกเบี้ยจะยังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
อัตราเพิ่มราคาที่ดินสูงกว่าดอกเบี้ย
ขณะที่นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกกิตติมศักดิ์สมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่าเรื่อง สต็อกอสังหาริมทรัพย์ที่รอขายกว่า 5 แสนล้านบาท ไม่น่าเป็นห่วง เพราะโครงการส่วนใหญ่อยู่ในทำเลที่มีที่ดินจำกัด เชื่อว่าจะขายออกไปได้ในที่สุด
เรื่องอัตราดอกเบี้ยก็เชื่อว่ายังมีเวลาสำหรับการปรับขึ้นไม่น่าจะเกิดขึ้นภายใน 2 ปีนี้ ซึ่งการที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ น่าจะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ผ่อนคลายไปได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับ 3-4% ซึ่งถือเป็นระดับต่ำ และต่ำกว่าราคาที่ดินซึ่งเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 8% เป็นอย่างน้อย ทำให้ผู้ประกอบการหลายราย และนักลงทุน เลือกที่จะถือครองที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์เพราะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด
