ส่อวุ่น! เจ้าหน้าที่สหรัฐคุมประท้วง จอร์จ ฟลอยด์ ติดเชื้อโควิด-19 หลายราย ผู้เชี่ยวชาญเตือนการติดเชื้อจะปรากฏ 2 สัปดาห์หลังการชุมนุม
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 กองทัพสหรัฐเปิดเผยว่า สมาชิก กองกำลังพิทักษ์ชาติ (National Guard) หลายรายที่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการประท้วงครั้งใหญ่ สืบเนื่องจากปมการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ (George Floyd) ชายชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ มีผลตรวจโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) เป็นบวก
หน่วยงานรัฐระบุในแถลงการณ์ว่า จะไม่เปิดเผยตัวเลขของเจ้าหน้าที่ที่ติดเชื้อ ด้วยเหตุผลด้าน “ความปลอดภัยในการปฏิบัติการ” โดยก่อนถูกส่งตัวมาปฏิบัติงานในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เจ้าหน้าที่ทุกคนจะได้รับการตรวจเชื้อแล้ว และจะเข้ารับการตรวจเชื้ออีกรอบก่อนเดินทางออกจากเมือง
คลิปวิดีโอจำนวนมากบนเครือข่ายออนไลน์แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่กองกำลังพิทักษ์ชาติหลายคนไม่สวมหน้ากากอนามัยระหว่างปฏิบัติหน้าที่ และโอกาสในการรักษาระยะห่างทางสังคมท่ามกลางการประท้วงนั้นแทบเป็น 0
สื่อท้องถิ่นสหรัฐรายงานว่า ทางการสหรัฐส่งเจ้าหน้าที่กองกำลังพิทักษ์ชาติหลายพันคนเข้าควบคุมการประท้วงที่กำลังขยายตัวเป็นวงกว้าง
WHO เพิ่งเตือนชุมนุม จอร์จ ฟลอยด์
เมื่อเร็วๆ นี้ ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส (Tedros Adhanom Ghebreyesus) ผู้อำนวยการใหญ่ของ องค์การอนามัยโลก (WHO) เพิ่งกล่าวระหว่างการแถลงข่าวทางออนไลน์ว่า “WHO สนับสนุนความเท่าเทียมและความเคลื่อนไหวต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติในระดับโลกอย่างเต็มที่ เราปฏิเสธการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบ แต่เราขอเรียกร้องให้ผู้ประท้วงทั่วโลกดำเนินการด้วยความปลอดภัย”
“ควรป้องกันตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รักษาระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 1 เมตร ทำความสะอาดมือ ปิดปากเวลาไอ สวมหน้ากากอนามัยระหว่างเข้าร่วมการประท้วง”
อย่างไรก็ตาม ทุกคนทราบดีว่าข้อแนะนำของ WHO ยากที่จะปฏิบัติในการชุมนุม
ผู้เชี่ยวชาญส่งเสียงทัก
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพได้ออกมาเตือนเรื่อง การรวมตัวของผู้ชุมนุมหลายหมื่นคนที่ออกมาประท้วงบนท้องถนนทั่วสหรัฐ กรณี จอร์จ ฟลอยด์ ที่เสียชีวิต เพราะอาจเร่งให้การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวดเร็วยิ่งขึ้น
จางจั้วเฟิง ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาและรองคณบดีฝ่ายวิจัยของสำนักวิชาสาธารณสุข มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในนครลอสแอนเจลิส เปิดเผยว่า “การรวมตัวขนาดใหญ่ในหลายพื้นที่ทั่วสหรัฐ ส่งผลให้เกิดการติดต่อใกล้ชิดและขาดการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) แม้ผู้ชุมนุมจำนวนมากสวมหน้ากาก แต่โอกาสติดเชื้อก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล”
ไมเคิล ออสเตอร์โฮล์ม ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและนโยบายโรคติดเชื้อ มหาวิทยาลัยมินนิโซตา กล่าวว่าการยิงแก๊สน้ำตาและใช้สเปรย์พริกไทยของตำรวจ กอปรกับควันจากการจุดไฟเผารถยนต์และสิ่งปลูกสร้างของผู้ประท้วง ล้วนก่อให้เกิดอาการไอจาม ซึ่งเป็นอาการที่ทำให้ไวรัสอยู่ในละอองลอย (aerosol) จนเพิ่มความเสี่ยงของการแพร่เชื้อ
ทั้งนี้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐระบุว่า ผู้ป่วยโรคโควิด-19 อย่างน้อย 1 ใน 3 เป็นผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการของโรค (asymptomatic)
โควิด-19 ใช้เวลา 2 สัปดาห์ปรากฏผล
จางเสริมว่า ความเสี่ยงของการติดเชื้อโควิด-19 จะเพิ่มขึ้นอีกเมื่อผู้ประท้วงถูกจับกุมเพราะ “เรือนจำเป็นพื้นที่ในร่มที่มีความแออัดยัดเยียด การจับผู้ประท้วงเข้าไปอยู่รวมกันในเรือนจำจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของการแพร่เชื้อไวรัสอย่างต่อเนื่อง”
สำนักข่าวเอพีของสหรัฐรายงานว่า มีการจับกุมประชาชนมากกว่า 5,600 คน ในช่วงไม่กี่วันที่มีการประท้วงทั่วสหรัฐ ขณะที่นายกเทศมนตรีและผู้ว่าการรัฐทั่วสหรัฐ เรียกร้องบรรดาผู้ชุมนุมอยู่ที่บ้าน แต่หากจะออกมาข้างนอกให้สวมหน้ากากปิดคลุมจมูก-ปากและรักษาระยะห่างทางสังคม
สำนักข่าวเอบีซี นิวส์ รายงานว่า แม้เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐได้ตักเตือนผู้ชุมนุมเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เกิดจากการประท้วงในช่วงที่มีโรคระบาดใหญ่ แต่กลับไม่ค่อยมีการนำเสนอแนวทางที่ปฏิบัติได้จริงและส่งเสริมบทบาทของการตรวจโรคโควิด-19 ซึ่งสามารถช่วยป้องกันการแพร่เชื้อได้
เนื่องจากผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เกือบทั้งหมดใช้เวลาพัฒนาอาการของโรคราว 14 วัน และสามารถแพร่กระจายโรคได้หลายวันก่อนเกิดอาการเจ็บป่วยชัดเจน ทำให้โอกาสของการตรวจโรคและหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นน้อยลง
“ผลกระทบจากการประท้วง ต่อจำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในสหรัฐ อาจปรากฏออกมาในอีกราว 2 สัปดาห์ ขณะที่จุดตรวจโรคโควิด-19 บางส่วนต้องปิดทำการเพราะการชุมนุม ก็ส่งผลกระทบต่อการวินิจฉัยโรคโควิด-19 อย่างทันท่วงที” จางกล่าว
จอร์จ ฟลอยด์ ติดเชื้อโควิด-19 ก่อนตาย
ทั้งนี้ ในรายงานการชันสูตรศพฉบับเต็มของ ฟลอยด์ ระบุว่า ฟลอยด์เสียชีวิตจากระบบหมุนเวียนเลือดล้มเหลว และแรงกดที่คอ โดยเขามีบาดแผลถลอกฟกช้ำภายนอกหลายจุด ที่หน้าผาก ใบหน้า ริมฝีปากบน ไหล่ มือ ข้อศอก และขา
นอกจากนี้ ฟลอยด์ยังมีโรคประจำตัวตามธรรมชาติหลายโรค ทั้งโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หลอดเลือดแข็งตัว โรคหัวใจจากความดันโลหิตสูง และยังพบว่า เขาติดเชื้อโควิด-19 ก่อนที่จะเสียชีวิตอีกด้วย โดยมีการตรวจสอบด้วยวิธีการ Swab ซึ่งยืนยันว่าฟลอยด์มีผลตรวจหาเชื้อ SARS-CoV-2 ไวรัสก่อโรคโควิด-19 ออกมาเป็นบวก คาดว่า ฟลอยด์ ติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน แต่ไม่แสดงอาการ
อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อโควิด-19 ไม่ได้เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์
โดยนับถึงเวลา 9.00 น. วันนี้ (10 มิ.ย.) ทั่วโลกมียอดสะสมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 7,316,820 คน รักษาตัวหายแล้ว 3,602,502 คน และมียอดสะสมผู้เสียชีวิตที่ 413,625 ราย ซึ่งสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยสะสมสูงสุดเป็นอันดับ 1 จำนวน 2,042,549 ราย และมีผู้ป่วยเสียชีวิตสูงสุดเป็นอันดับ 1 จำนวน 114,148 ราย
ที่มาสำนักข่าวซินหัว
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ผู้เชี่ยวชาญหวั่นประท้วง ‘จอร์จ ฟลอยด์’ เร่งโควิด-19 ระบาดหนักในอเมริกา
- ผลชันสูตรชี้ ‘จอร์จ ฟลอยด์’ ติดโควิด-19 ก่อนตาย
- สั่งยุบ ‘สำนักงานตำรวจมินนิแอโพลิส’ เซ่นคดี ‘จอร์จ ฟลอยด์’