Wellness

รอสัญญาณจีนส่งกลับชาวอู่ฮั่นตกค้าง 10,000 คน

รอสัญญาณจีนส่งกลับชาวอู่ฮั่นตกค้าง 10,000 คน ย้ำไม่ป่วยรุนแรง คาดจีนเปิดสนามบิน 3 ก.พ.  ส่วนนักศึกษาไทยในจีน 60 คน เตรียมพร้อมมาตรการรับกลับ  

วันนี้ในช่วงเช้า (30 ม.ค.) กระทรวงสาธารณสุข รายงานข่าวความคืบหน้ากรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 Novel Coronavirus;2019-nCoV) ประจำวันที่ 30 มกราคม 2563 ณ เวลา 08.00 น.

1.พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจากต่างประเทศ 14 ราย (กลับบ้านแล้ว 6 ราย อีก 8 รายนอนโรงพยาบาล) ไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศไทย

2. มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม- 29 มกราคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 202 ราย คัดกรองจากสนามบิน 31 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 171 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว 67 ราย ส่วนใหญ่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 135 ราย โดยในวันที่ 29 มกราคม 2563 พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรครายใหม่ 44 ราย

3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 17 ประเทศ และ 2 เขตปกครองพิเศษ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 29 มกราคม 2563 พบผู้ป่วย 6,066 ราย ส่วนประเทศจีน ข้อมูล ณ วันที่ 27 มกราคม 2563 พบผู้ป่วย 5,974 ราย เสียชีวิต 132 ราย

4. ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตัวตามคำแนะนำ ของกระทรวงสาธารณสุข สถานการณ์จะดีขึ้นด้วยความร่วมมือจากประชาชน อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” งดแชร์ข้อมูลผู้ป่วยทางสื่อออนไลน์ และมาจากแหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ เพื่อไม่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแพร่หลาย เกิดความตระหนก และมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

โดยให้ติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุข หากมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/ และ Line@/เฟสบุ๊ค: รู้กันทันโรค,Coronavirus2019, กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ประชาชนสามารถตรวจสอบข่าวลวงได้ ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม www.antifakenewscenter.com

5. ให้ใส่หน้ากากอนามัย 

829627

ทั้งนี้เพื่อแจ้งความคืบหน้า และรายละเอียดอย่างเป็นทางการ ป้องกันข่าวลวง กระทรวงสาธารณสุข ได้ปร้บการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน 2 รอบต่อวัน วันนี้ (30 ม.ค.) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป แถลงต่อสื่อมวลชนพร้อมรอบข้อซักถามว่า ล่าสุดเป็นข่าวที่น่าดีใจ ณ ขณะนี้ ที่ผู้ป่วยรักษาหาย และแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้เพิ่มอีก 1 คน อยู่ระหว่างรักษา 8 คน โดยคนที่กลับบานได้ 6 คนนั้น เป็นคน จีน 5 ไทย 1 คน ทุกคนอาการกลับมาปกติดี

สำหรับการคัดกรอง วานนี้ (29 ม.ค.) เราขยับคัดกรองผู้เดินทางจากจีนทุกเที่ยวบินที่ไม่ใช่อู่ฮั่น ซึ่งปิดสนามบินไปแล้ว ทำให้ตรวจพบคนที่ป่วยได้เร็วขึ้น รวมคัดกรอง 92 เที่ยวบิน ทั้งผู้โดยสาร และลูกเรือรวม  6,963 คนได้รับคัดกรอง ขณะเดียวกันสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และสนามบินนานาชาติอื่นๆได้ปรับการทำงาน ทำให้มีผู้ปฏิบัติงานในสนามบิน 24 ชม. มีกำลังเสริมจากหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ และหน่วยราชการอื่นๆ ที่มาร่วมดำเนินการ ทำให้การคัดกรองครอบลุมดีขึ้น

829623

สำหรับสถานการณ์ระดบโลก ประเทศต่างๆพบผู้ป่วยเดินทางจากจีนไป และป่วยด้วยโรคไวรัสโคโรนา 17 ประเทศ รวมกันมีจำนวนผู้ป่วยทั่วโลก 6,066 ราย เป็นชาวจีน 5,974 ราย เสียชีวิต 132 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตในต่างประเทศ เพราะการรักษาในต่างประเทศ อาการผู้ป่วยไม่รุนแรง สำหรับ 14 รายของไทยที่ติดเชื้อจากต่างประเทศ ผลการรักษาค่อนข่างดี กลับบ้านแล้ว 6 ราย

ทั้งนี้นพ.โสภณ ย้ำให้ทุกคนป้องกันตนเอง โดยระบุว่า แม้ว่ายังไม่มีการรายงานระบาดในไทย แต่เป็นห่วงว่า หากเราไม่ให้คำแนะนำประชาชนอย่างทันเหตุการณ์ช่วงนี้ ก็จะตระหนก เราอยากสร้างความตระหนักมากกว่า โดยให้ประชาชนป้องกันตนเอง โดยทำ 2 เรื่อง คือ ใช้หน้ากาก ต้องมีติดตัวคนละ 1 ชิ้น เป็นหน้ากากผ้าก็ได้ เพราะคนปกติทั่วไป ยังไม่ได้ป่วย ไม่ได้ไอจาม มีน้ำมูกน้ำลายไม่เยอะ  การใส่หน้ากากผ้าก็ป้องกันได้ เป็นการป้องกันน้ำลายคนอื่นกระเด็นมาบริเวณจมูก และปากของเรา

829631

สำหรับข้อแนะนำให้ใส่หน้ากากผ้า เพราะสามารถซักได้ สามารถลดขยะได้ ขณะเดียวกันประสิทธิภาพการป้องกันสำหรับคนไม่ป่วยเหมือนกัน

ส่วนหน้ากากทางการแพทย์ สำหรับกรณีป่วยแล้ว  มีการไอจาม ใส่เพื่อลดการซึมเปื้อน ลดการป้องกันการแพร่กระจาย ซึ่งใส่แล้วต้องทิ้ง อาจสิ้นเปลือง และมีขยะหลายสิบล้านชิ้นเกิดขึ้น

ทางด้านหน้ากาก N 95 ใช้เฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ ที่ต้องรักษาผู้ป่วย ซึ่งมีเชื้อเยะ  แต่สำหรับคนทั่วไปแล้วหน้ากาก N95 จำเป็นน้อยมาก 

สำหรับผลการประชุมกับทีมผู้เกี่ยวข้องทั้งประเทศเมื่อเช้าวันนี้ เพื่อวางแผนรับมือการระบาดในระยะยาวนั้น นพ.โสภณ ระบุว่า เป็นการประชุมร่วมกับสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลทั่วประเทศ ให้ทุกหน่วยงานรับทราบสถานการณ์ และเตรียมพร้อมเปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์ และสาธารณสุข ที่สาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลจังหวัด เพื่อให้ทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะพื้นที่มีสถานที่ท่องเที่ยว และที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว จะได้วางระบบเฝ้าระวัง

ขณะเดียวกันก็มีเน้นการเฝ้าระวัง และป้องกันเชิงรุก จากขั้นตอนแรก เฝ้าระวังที่สนามบิน มาที่โรงพยาบาล ล่าสุดขยายมาที่ชุมชน หากผู้ใดมีไข้ บวกทางเดินหายใจ และเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง มาไม่เกิน 14 วัน ให้รีบแจ้ง โดยเรามีเบอร์โทรศัพท์ของไกด์ทัวร์  ซึ่งโรงแรมต่างๆรับทราบหมดแล้ว

829625

ส่วนระบบการรักษาพยาบาล ผู้ป่วยที่พบ ไม่ได้มีอาการหนัก แต่หากระยะต่อไป พบเจอผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น และผู้ป่วยมีอาการรุนแรง จะมีสถานพยาบาลเพียงพอ ทั้งโรงพบาบาลจังหวัด อำเภอ และโรงพยาบาลเอกชนที่จะมาร่วมดำเนินการ เป็นการบูรณาการระหว่างรัฐ และเอกชน เพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ในอนาคต

สำหรับตัวเลขชาวอู่ฮั่นที่ตกค้างในไทย หากเราดูตัวเลขจากกระทรวงการท่องเที่ยว และตรวจคนเข้าเมือง คนที่มาจากอู่ฮั่นจะอยู่ในไทย 5-7 วัน ราว 1,200 คนต่อวัน เท่ากับมีคนอยู่ในไทย 6,000 คน ครบ 5-7 วัน ก็เดินทางกลับ ประกาศปิดสนามบิน เมื่อ 24 มกราคม วันเสาร์ที่ผ่านมา ทางสนามบินมีการสำรวจ และตรวจสอบดู พบเวลานั้นตกค้าง 20,000 คน เพราะไม่มีเที่ยวบินกลับ

ล่าสุดทยอยกลับ โดยไปลงในเมืองอื่นๆใกล้เคียง และเดินทางกลับอู่ฮั่น ตกค้างจริงไม่เกิน 10,000 คน อยู่ระหว่างสายการบินจีน ประสานเดินทางกลับ เพราะหลายคนต้องกลับไปทำงาน ขณะเดียวกันก็ต้องดูด้วยว่าป่วยหรือไม่ จะได้รักษา แต่เท่าที่ประเมินไม่มีการป่วยรุนแรง โดยได้ข่าวว่าทางการจีน จะเปิดสนามบินภายในวันที่ 3 กุมภาพันธ์นี้ ถือว่าเหตุการณ์กลับมาเป็นปกติ แต่ก็ต้องติดตามข่าวสารต่อไป เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้

ในส่วนของนักศึกษาไทยในจีนที่จะกลับมา ถือเป็นช่วงนี้ปิดเทอม เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา ก็ได้ประชุมกับกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งสำนักงานกงสุล ก็ทำงานหนัก ในการดูว่าใครอยู่ที่ไหน มีรวม 60 คน แต่การที่มีการปิดโรงเรียน จึงมีโอกาสน้อย ที่จะได้รับเชื้อ และเป็นช่วงวัย 20 ปีกว่าๆ ยังแข็งแรง จึงไม่ได้ป่วย

อย่างไรก็ตามจีน ได้แนะนำมาตลอดให้ใส่หน้ากากผ้าออกจากบ้าน เมื่อต้องไปที่สาธารณะ และกระทรวงการต่างประเทศก็ติดตามเป็นระยะๆ ขณะเดียวกันก็อยู่ในวีแชทกรุ๊ป จึงมีการติดตามตลอดเวลาใครป่วยหรือไม่ หากป่วยก็แนะนำให้ระวังตัว และหากป่วยก็จะไม่รุนแรง กรณีมีผู้เสียชีวิตในจีน เพราะอายุมาก และมีโรคประจำตัว เช่น ไต

ขณะเดียวกันนักศึกษาอยู่แยกหอพักกัน  และแยกตัวจากคนอื่น จึงไม่มีปัญหา แต่เวลาไปรับกลับจริง ต้องตรวจสอบอีกครั้งว่าป่วยหรือไม่ ก็จะดูแลเป็นพิเศษ โดยอยู่ในที่ที่ติดตามไข้ได้ทุกวันจนครบ 14 วัน ถือเป็นมาตรฐานทีเราระวังอยู่

สำหรับการเดินทางรับกลับนั้น เราเตรียมหน้ากากผ้า 1 ชิ้น และปรอทวัดไข้ให้ ป้องกันน้ำลายกระเด็น สามารถลดความเสี่ยงได้ แต่ย้ำว่าทุกคนต่างคนต่างอยู่ และไม่ได้ป่วย การเดินทางกลับ หากพบป่วยจะแยกที่นั่งให้ โดยสายการบินที่ได้รบมอบหมายให้เตรียมเครื่องบินไปรับ จะประเมินและเตรียมที่นั่งตำแหน่งพิเศษให้ คนที่มีปัญหาเรื่องทางเดินหายไป รวมถึงมีทีมแพทย์ที่จะไปช่วยประเมินด้วย หากไม่ป่วย และเมื่อกลับถึงบ้าน ให้อยู่ที่บ้านไปก่อน อย่าเพิ่งไปไหน จนครบระยะเวลาเฝ้าระวัง คือ 14 วัน เพราะเราไม่จำเป็นต้องเอาคนไม่ป่วยมาอยู่โรงพยาบาล

อย่างไรก็ตามนักศึกษากลุ่มนี้ เขาอยู่คนเดียวตั้งแต่ปิดสนามบินจนถึงเดินทางมาไทยก็กินเวลาไปแล้ว 7 วัน ก็จะเป็นระยะฟักตัว ก็จะรู้ในช่วงนี้ได้ว่าป่วยหรือไม่ แต่เรากำหนดดูอาการ 14 วัน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีแน่ๆ

สำหรับกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ  เช่น แท็กซี่ ได้มีการประชุมกับโรงแรม และแท็กซี่ ได้ให้คำแนะนำและแจกอุปกรณ๋ป้องกัน หน้ากาก และเจลล้างมือ และให้สังเกตผู้โดยสาร และลูกทัวร์าป่วยหรือไม่  โดยให้แจ้งมาที่สายด่วน ขณะเดียวกันได้ให้คำแนะนำเพิ่ม และตรวจวินิจฉัย ทำให้ผู้ประกอบการตื่นตัว รวมถึงแนะนำทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ 70% ก็ทำได้ หรือผงซักฟอก ก็สามารถลด และกำจัดเชื้อได้

“คนกลุ่มที่ทำงานสาธารณะที่ทำงานเกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวที่มาจากเมืองที่ระบาดถือเป็นกลุ่มเสี่ยงทั้งหมด โดยเฉพาะจีน มีการระบาดเราสนใจเป็นพิเศ๋ษ เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดในไทย หากเราไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า ยืนๆอยู่ มีนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ต้องระวัง จึงเป็นที่มาของการรณรงค์ให้ใส่หน้ากาก จะได้ลดการกระจายของน้ำมูกน้ำลาย และให้ล้างเมือบ่อยๆ” 

นพ.โสภณ ระบุว่า สำหรับคนป่วยเข้าเกณฑ์ 202 คนนั้น มีคนไทยจำนวนหนึ่ง และหลากหลายอาชีพ รวมถึงคนขับแท็กซี่ 2 คน ก็ถือว่าหลีกเลี่ยงยาก ที่จะไม่เจอ โดยทั้งหมดจะอยู่ระหว่างสอบสวนโรค 1-2 วันนี้ ผลตรวจจะทอยออกมาจากแล็บของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งเป็นศูนย์โรคอุบัติใหม่

หากพบทั้ง 2 ห้องปฏิบัติการ ก็จะออกมายืนยันตัวเลขทางการอีกครั้ง อย่างไรก็ตามในส่วนของคนขับแท็กซี่ อาการไม่รุนแรง มีอาการไข้ และทางเดินหายใจ ไม่เป็นผู้ป่วยต้องกังวล  ส่วน 14 คนที่เจอ ก็อยู่ในขั้นเริ่มต้นป่วย การรักษาได้ผลดี แพทย์พยาบาลก็ดูแลใกล้ชิด และสัญญาณชีพ อุณหภูมิ ชีพจร ความดันปกติ จึงไม่ต้องเป็นห่วง

คนขับแท็กซี่ที่รับผู้โดยสารมา ก็ไม่ได้ถามว่ามาจากอู่ฮันหรือเปล่า เพราะคนจีนมาเที่ยวเมืองไทยจำนวนมากถึงเดือนละ 9 แสนคน แท็กซีเองก็รับทัั้งคนไทย และต่างชาติ อย่างไรก็ตามชาวอู่ฮั่นมาไทยไม่ถึง 10% และเมืองนี้ก็ประชากรไม่เยอะราว 10 ล้านคน” 

สำหรับใช้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่ผ่านมาของไทยนั้น ก็ถือว่าสูง เพราะต้องรักษาในห้องแยกโรค แต่เนื่องจากอาการไม่รุนแรง ค่ายาไม่ได้มาก อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ นโยบายของรัฐบาล ให้การดูแลผู่ป่วยมาจากต่างประทเศ เกิดความปลอดภัย และร่วมมือให้ดีที่สุด อย่างไรก็ตามนโยบายจะปรับเป็นระยะๆ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในต่างประเทศด้วย

ในส่วนของโรคในต่างประเทศ ตอนนี้มีอย่างน้อย 4 ประเทศ โดยที่เขาไม่ได้เดินทางไปจีน แต่ติดเชื้อ กรณีผู้ป่วยญี่ปุ่น เป็นคนขับรถบัส ส่วนเวียดนามเกิดจากลูกไปจีนมา ขณะที่เยอรมัน มีกรณีนักธุรกิจไปประชุมที่เยอรมัน และไต้หวัน ถือว่าเกิดได้เพราะเป็นการอยู่ใกล้ชิดกับแหล่งระบาดมาก ซึ่งโรคนี้ก็เหมือนไข้หวัดใหญ่ ติดกันได้ จึงให้ใส่หน้ากาก จะได้ลดโอกาสแพร่เชื้อ และ 4 รายที่เป็นในต่างประเทศก็ไม่มีอาการรุนแรง เพราะอยู่ในระยะแรก อย่างไรก็ตามต้องติดตามเป็นระยะๆ

“สถานการณ์ล่าสุด ความรุนแรงลดลง การป่วยและตายเจอในผู้ป่วยเสี่ยงสูง อายุมาก มีโรคประจำตัว ได้แก่ เบาหวาน ความดันสูง หัวใจ ไต จึงมีโอกาสเสี่ยงมากกว่า” 

ส่วนกรณีนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิต ต้องชันสูตร โดยใช้นิติเวช เพราะเสียชีวิตผิดปกติ ในเบื้องต้น เสียชีวิตเร็วอย่างนี้ ไม่ได้เกิดจากโรคติดต่อ  เป็นโรคติดต่อต้องไอ และป่วยมาหลายวัน แต่เท่าที่ตามข่าวกรณีนี้  เสียชีวิตหลังจากไปดื่มมา และหลับไป จากนั้นก็เสียชีวิต

829628

ในการแถลงข่าววันนี้ กรมอนามัยยังได้มีอธิบาย และสาธิต การใช้หน้ากากที่ถูกต้องด้วย ดังนี้

1.ดูวันหมดอายุ

2. หน้ากากอนามัย กรอง 3 ชั้น ชั้นนอกเป็นผิว กันการซึมเปือน ไม่ดูดซับน้ำ ด้านในซับน้ำ น้ำมูกน้ำลาย โดยด้านในนุ่มกว่าด้านนอก ด้านนุ่ม ไว้ข้างใน เพื่อซับน้ำมูกน้ำลาย ส่วนด้านนอกกันน้ำ กันละออง บานพับของหน้ากาก จะมีลักษณะหงายลง เพื่อให้สิ่งแปลกปลอมหล่นลงมา

3. ให้คล้องใบหู กดแทบลวดให้แนบใบหน้า จมูก และดึงหน้ากากส่วนล่าง ให้คลุมใต้คาง

4.สำหรับวิธีทิ้ง เนื่องจากมีเสมหะปน เพื่อป้อนกันการแพร่เชื้อ ให้ใส่ถุงทิ้งมิดชิด และทิ้งในถังขยะทั่วไป

5.ทิ้งเสร็จ ให้ล้างมือ

สำหรับวิธีการสวมหน้ากากอนามัยทางการแพทย์รับชมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=5BYIlQg13MM&feature=emb_logo /ในการป้องกัน…

รายงานข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข ระบุในส่วนการทำงานของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ว่า ได้จัดประชุมระดมสมองห้องปฏิบัติการ โรงพยาบาลในเครือข่ายทั้งมหาวิทยาลัยกรมควบคุมโรค และกรมการแพทย์ได้ แก่ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลรามาธิบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์โรคติดต่ออุบัติใหม่ สภากาชาดไทย โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลเลิดสิน สถาบันบำราศนราดูร ปรับปรุงแนวทางการตรวจทางห้องปฏิบัติการรับมือสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็นมาตรฐานเดียวกัน ประชาชนได้รับผลการตรวจที่รวดเร็ว น่าเชื่อถือ และสามารถนำมาใช้ประเมินสถานการณ์ในการควบคุม ป้องกันโรค โดยขณะนี้มีตัวอย่างส่งมาตรวจ ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ประมาณ 30-40 ตัวอย่างต่อวัน

 

 

Avatar photo