World News

ดอลลาร์แข็ง-กังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย ฉุด ‘ราคาน้ำมัน WTI’ ร่วงแตะ 84 ดอลลาร์

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส อินเตอร์มีเดียท (WTI) ปิดซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ ของสหรัฐ เมื่อวานนี้ (20 ก.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น ร่วงลงแตะระดับ 84 ดอลลาร์ เจอแรงกดดันจาก “ดอลลาร์” แข็งค่า ทั้งยังกังวลว่า “เฟด” จะขึ้นดอกเบี้ยแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการบริโภค

ราคาน้ำมันดิบ WTI กำหนดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 1.28 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 84.45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) กำหนดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 1.38 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 90.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมัน

นักวิเคราะห์ชี้ว่า ตลาดน้ำมันได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลว่า การใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจมีความเสี่ยงถดถอยมากขึ้น และจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน

FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 82% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% มาอยู่ที่ระดับ 3.00-3.25% และให้น้ำหนัก 18% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 1.00% ในการประชุม ซึ่งจะเสร็จสิ้นลงในวันนี้ (21 ก.ย.) ตามเวลาสหรัฐ

ขณะเดียวกันการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ ยังส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบ ซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้น และไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์ เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ปรับตัวขึ้น 0.44% แตะที่ 110.2150

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบ จากรายงานของกระทรวงคมนาคมสหรัฐซึ่งระบุว่า ปริมาณการเดินทางด้วยรถยนต์ของสหรัฐในเดือนกรกฎาคม ลดลง 3.3% มาอยู่ที่ 2.866 แสนล้านไมล์ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเดือนที่ 2 เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงพุ่งสูงขึ้น

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (อีไอเอ) ในวันนี้  โดยคาดว่า จะเพิ่มขึ้น 2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo