World News

‘นิวยอร์ก’ ขู่ปิดธุรกิจฝ่าฝืนมาตรการโควิด-19 หลังคนแห่ร้องเรียน 2.5 หมื่นครั้ง

ผู้ว่าฯ นิวยอร์กขู่ปิดธุรกิจ ฝ่าฝืนมาตรการ “โควิด-19” หลังประชาชนแห่ร้องเรียน 2.5 หมื่นครั้ง ในเวลาเพียง 2 เดือน นักวิชาการชี้ “สหรัฐ” ยังน่าเป็นห่วงอย่างมาก 

เมื่อวานนี้ (14 มิ.ย. 63) ผู้ว่าการรัฐ นิวยอร์กขู่ปิดธุรกิจ ในบางพื้นที่ เนื่องจากมีผู้ประกอบการฝ่าฝืนมาตรการโควิด-19

นิวยอร์กขู่ปิดธุรกิจ

นิวยอร์กขู่ปิดธุรกิจ

เมื่อวานนี้ (14 มิ.ย. 63) แอนดรูว์ คัวโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก สหรัฐ ประกาศว่า รัฐนิวยอร์กอาจพิจารณาสั่งปิดธุรกิจในพื้นที่ที่มีการฝ่าฝืนมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และระเบียบการอื่นๆ ที่กำหนดใช้ระหว่างการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)

คัวโมระบุว่า รัฐนิวยอร์กได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับธุรกิจที่ฝ่าฝืนกฏระเบียบราว 25,000 ครั้ง นับตั้งแต่เริ่มกลับมาเปิดเศรษฐกิจเป็นระยะเมื่อเดือนพฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา

“เราไม่เคยได้รับเรื่องร้องเรียนมากขนาดนี้ในระยะเวลาอันสั้น” คัวโมกล่าว พร้อมเสริมว่าคำร้องเรียนส่วนใหญ่มาจากนครนิวยอร์กและเมืองแฮมป์ตันส์ บนเกาะลองไอแลนด์

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (13 มิ.ย. 63) คัวโมได้รีทวีต คลิปวิดีโอหนึ่ง ซึ่งปรากฎภาพผู้ร่วมงานหลายร้อยคนกำลังสังสรรค์และกินดื่มบริเวณถนนเซนต์มาร์กเพลส (St. Mark’s Place) ในย่านอีสต์วิลเลจของแมนฮัตตันเมื่อช่วงเย็นวันศุกร์ (12 มิ.ย. 63) และมีผู้ร่วมงานเพียงไม่กี่คนที่สวมหน้ากากอนามัย โดยเขาได้แสดงความคิดเห็นต่อคลิปวิดีโอดังกล่าวว่า “อย่าทำให้ผมต้องลงไปจัดการ…”

“มีความเป็นไปได้ที่เราจะปิดธุรกิจในพื้นที่เหล่านั้นอีกครั้ง นี่เป็นสถานการณ์ที่ร้ายแรงมากและผมต้องการแน่ใจว่าประชาชนทุกคนเข้าใจถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา” คัวโมกล่าว

นิวยอร์กขู่ปิดธุรกิจ

อย่างไรก็ดี ช่วงระยะแรกของการเปิดเศรษฐกิจใน นิวยอร์ก ร้านอาหารและบาร์ได้รับอนุญาตให้เปิดเพียงบริการจัดส่งอาหารและประชาชนสามารถรวมตัวกันได้ไม่เกิน 10 คน ขณะที่การดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่สาธารณะเป็นสิ่งผิดกฎหมายในนิวยอร์ก

คัวโมเตือนว่า บาร์และร้านอาหารที่ฝ่าฝืนกฎหมายอาจถูกยึดใบอนุญาตจำหน่ายสุรา และผู้ที่ครอบครองเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ฝาขวดถูกเปิดออกในพื้นที่สาธารณะอาจถูกปรับ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ประท้วงที่ไม่สวมหน้ากากอนามัยอาจถูกปรับได้เช่นกัน พร้อมประกาศเตือนรัฐบาลท้องถิ่นให้บังคับใช้กฎหมายหรืออาจเป็น “การกระทำในนามของรัฐ”

“การฝ่าฝืนดังกล่าวไร้ซึ่งความเคารพต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและคนทำงานที่เสียสละตัวเองและบางคนถึงกับสละชีวิต เพื่อต่อสู้กับโรคโควิด-19” เขากล่าว

ทั้งนี้ รัฐนิวยอร์ก รายงานการตรวจพบผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ลดลงแตะระดับต่ำสุดที่ 23 รายต่อวัน ในวันเสาร์ (13 มิ.ย. 63) โดยลดลงจาก 32 รายในวันศุกร์ (12 มิ.ย.63) และ 42 รายในวันพฤหัสบดี (11 มิ.ย. 63) ขณะที่จำนวนผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 694 ราย ในวันอาทิตย์ (14 มิ.ย. 63) ส่งผลให้ยอดผู้ป่วยในรัฐรวมอยู่ที่ 383,324 ราย

โควิด-19 ในสหรัฐฯ ยังไร้จุดเปลี่ยน 

คณะนักระบาดวิทยาชั้นนำแสดงทัศนะว่า สหรัฐจะเผชิญสถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นในการควบคุมการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะรัฐต่างๆ เริ่มเปิดเมืองและโรงเรียนกลับมาทำการเรียนการสอน

“ผมกลัวว่าเราจะไม่ได้เห็นจุดเปลี่ยน (turning point) อีกเป็นปี” สแตนลีย์ เพิร์ลแมน ศาสตราจารย์ด้านจุลชีววิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยา มหาวิทยาลัยไอโอวา ให้สัมภาษณ์ผ่านทางอีเมล

อนึ่ง ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ ระบุว่ายอดผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ได้รับการยืนยันผลในสหรัฐทะลุ 2.08 ล้านราย และผู้ป่วยเสียชีวิตมากกว่า 1.15 แสนราย เมื่อนับถึงบ่ายวันอาทิตย์ (14 มิ.ย. 63) ขณะหลายรัฐอย่างเท็กซัส ฟลอริดา และแคลิฟอร์เนีย พบผู้ป่วยใหม่รายวันสูงสุดตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐ คาดการณ์ว่าสหรัฐ จะมีผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ราว 1.24-1.4 แสนรายภายในวันที่ 4 กรกฎาคม 2563 นี้ โดยรัฐแอริโซนา อาร์คันซอ ฮาวาย นอร์ธแคโรไลนา ยูทาห์ และเวอร์มอนต์ อาจพบผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2563 เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2563

ด้านแบบจำลองผลกระทบจากโรคโควิด-19 ซึ่งจัดทำโดยสถาบันวัดและประเมินสุขภาพ (IHME) ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ยังปรับการคาดการณ์ยอดผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เป็นเกือบ 1.7 แสนรายภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ด้วย

การคาดการณ์ข้างต้นฉายภาพอันน่าหวาดกลัวของสิ่งที่กำลังคืบคลานเข้ามายามฤดูร้อนผันเปลี่ยนสู่ฤดูใบไม้ร่วง โดยจำนวนผู้ป่วยเสียชีวิตรายใหม่ในแต่ละวันของสหรัฐ อาจจะพุ่งขึ้นสูงมากในเดือนกันยายน

คาดป่วยอีก 1 ล้านใน 3 เดือนครึ่ง

“หากอ้างอิงการคาดการ์ของสถาบันฯ และอัตราการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ 5.55% สหรัฐ จะมีผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันผลเพิ่มอีก 1 ล้านรายภายใน 3 เดือนครึ่ง” จางจั้วเฟิง ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยา และรองคณบดีฝ่ายวิจัยของสำนักวิชาสาธารณสุข มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในนครลอสแอนเจลิสกล่าว

จางแจกแจง 3 ปัจจัยหลักที่มีส่วนส่งเสริมการติดเชื้อเพิ่มขึ้น

  • ประการแรก การรวมตัวขนาดใหญ่ทั่วประเทศเพื่อประท้วงกรณีจอร์จ ฟลอยด์ ชาวอเมริกันเชื้อสายอัฟริกันที่เสียชีวิตระหว่างถูกตำรวจจับกุมตัว ซึ่งก่อให้เกิดการติดต่อใกล้ชิดและการแพร่กระจายไวรัสอย่างรวดเร็ว
  • ประการถัดมา การกลับมาดำเนินธุรกิจต่างๆ อีกครั้งในทุกรัฐ ซึ่งอาจเพิ่มการรวมตัวและความเป็นไปได้ในการติดเชื้อ
  • ประการสุดท้าย โรงเรียนกลับมาเปิดการเรียนการสอนในห้องเรียนตามปกติ ซึ่งอาจกลายเป็นแหล่งการติดเชื้อระลอกใหม่

สถานการณ์นั้นน่าวิตกกังวลอย่างมาก” จางจั้วเฟิงแสดงความเห็นทิ้งท้าย

ที่มาสำนักข่าวซินหัว

อ่านข่าวเพิ่มเติม

Avatar photo