ตลาดหุ้นสหรัฐ ซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ (14 เม.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น พร้อมใจกันทะยานสูงขึ้น ท่ามกลางความหวังว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น หลายประเทศเริ่มมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวล่าสุดที่ 23,749.37 จุด ปรับขึ้น 358.60 จุด หรือ 1.53% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ 2,815.40 จุด เพิ่มขึ้น 53.77 จุด หรือ 1.95% และดัชนีแนสแด็ก ที่ 8,406.91 จุด บวก 214.48 จุด หรือ 2.62%
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ของสหรัฐได้เริ่มทรงตัว ขณะที่นายแอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ศูนย์กลางการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ แสดงความเชื่อมั่นว่า จุดสูงสุดของการระบาดในรัฐได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ยังเตือนว่า ไม่ควรยกเลิกมาตรการป้องกัน และควบคุมการระบาดเร็วเกินไป เพราะจะทำให้เกิดความเสี่ยงที่การระบาดจะกลับมาเลวร้ายอีกครั้ง
ขณะนี้ สหรัฐติดอันดับ 1 ของโลกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้เสียชีวิต โดยมีผู้ติดเชื้อจำนวน 587,173 ราย และมีผู้เสียชีวิต 23,644 ราย
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยในวันแรกของการเริ่มต้นฤดูรายงานผลประกอบการนี้ เจพี มอร์แกน เชส ระบุว่า ธนาคารมีกำไร 0.78 ดอลลาร์ต่อหุ้น ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.84 ดอลลาร์ต่อหุ้น และมีรายได้อยู่ที่ 2.907 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.967 หมื่นล้านดอลลาร์
วันนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ยังออกมาคาดการณ์อีกครั้งว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะประสบกับวิกฤติการเงินที่รุนแรงที่สุด นับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษ 30 โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ไอเอ็มเอฟ ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกจะหดตัวลง 3% ในปีนี้ สวนทางการคาดการณ์ในเดือนมกราคมที่ระบุว่า เศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 3.3% ในปีนี้
อย่างไรก็ดี ไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 5.8% ในปีหน้า จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะมีการขยายตัว 3.4%