ปี 2560 ถือเป็นปีที่เวียดนามประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจมากที่สุด ด้วยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่ขยายตัวสูงถึง 6.81% สูงกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ที่ 6.7%
ข้อมูลสถิติของปีที่แล้ว ที่รัฐบาลเปิดเผยออกมาล่าสุดนั้น เน้นให้เห็นภาพเศรษฐกิจอันสดใส ทั้งจีดีพีต่อหัวประชากรที่เพิ่มขึ้นจาก 2,215 ดอลลาร์ ในปี 2559 มาอยู่ที่ 2,385 ดอลลาร์ ในปี 2560 และรายได้จากการส่งออกพุ่งถึง 2.13 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 21.1% จากปีก่อนหน้า
สินค้าส่งออกหลักรวมถึง อุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ อุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์ไม้ โดยสหรัฐถือเป็นตลาดส่งออกใหญ่สุดของเวียดนาม ตามด้วยสหภาพยุโรป (อียู) จีน อาเซียน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
ขณะที่มูลค่าการนำเข้า พุ่งถึง 2.11 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 20.8% จากปี 2559 โดยตลาดนำเข้าหลัก อาทิ จีน เกาหลีใต้ อาเซียน และญี่ปุ่น ส่วนผลผลิตแรงงานเพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อนหน้า
ส่วนอัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นจากระดับ 2.66% ในปี 2559 มาอยู่ที่ 3.53% เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเวียดนามยืนยันว่า ยังอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ และควบคุมได้
เอฟดีไอสูงเป็นประวัติการณ์
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) เมื่อปีที่แล้ว พุ่งขึ้นทำสถิติใหม่ ด้วยยอดรวมเงินทุนจดทะเบียนที่ 3.58 หมื่นล้านดอลลาร์ จาก 115 ประเทศและดินแดน ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เข้าลงทุนในเวียดนามมากสุดเมื่อปีที่แล้ว ที่ 9,110 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วน 25.4% ของยอดรวมมูลค่าการลงทุนทั้งหมด ตามด้วยเกาหลีใต้ 23.7% และสิงคโปร์ที่ 14.8%
นอกจากนี้ ราว 44.2% ของกระแสเอฟดีไอโดยรวม มุ่งตรงไปที่ ภาคการผลิตและแปรรูป 23.3% ไปที่การผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า และ 8.5% อยู่ที่อสังหาริมทรัพย์
โอกาสเศรษฐกิจปี 2561
ในปีนี้ ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ประเมินว่า เศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัวราว 6.5-6.8% ขณะออสเตรเลีย แอนด์ นิวซีแลนด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป (เอเอ็นแซด) คาดว่าจะเติบโตราว 6.8%
โอกาสสำหรับการเติบโตในปีนี้ มาจากการกิจกรรมควบรวมกิจการ (เอ็มแอนด์เอ) การทำข้อตกลงการค้าเสรี อย่าง อียู-เวียดนามเอฟทีเอ ข้อตกลงครอบคลุมและก้าวหน้าเพื่อหุ้นส่วนการค้าทรานส์-แปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) รายได้ที่เพิ่มขึ้น และ การพัฒนากรอบการทำงานด้านกฎหมาย
5 สถานที่ยอดนิยมลงทุนเวียดนาม
ข้อมูลข้างต้นย้ำให้เห็นถึงโอกาสหลากหลายสำหรับนักลงทุนในเวียดนามในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า โดย 5 เมืองที่น่าจะมีการเข้าลงทุนมากสุดในปีหน้า ประกอบไปด้วย
โฮจิมินห์ ซิตี้
นครโฮจิมินห์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของเวียดนาม ด้วยมูลค่าจีดีพีโดยรวมในปี 2560 มากกว่า 4.82 หมื่นล้านดอลลาร์ และมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 8.26%
โฮจิมินห์ ซิตี้ ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้นำในการเติบโตของเวียดนามในแง่ของการดึงดูดเอฟดีไอ โดยปัจจุบัน เมืองนี้มีโครงการเอฟดีไอที่ดำเนินงานอยู่มากกว่า 7,300 โครงการ และมียอดเงินทุนจดทะเบียนมากกว่า 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 13% ของยอดรวมเอฟดีไอที่ไหลเข้ามาในเวียดนาม
หนึ่งในความได้เปรียบทางการแข่งขันของนครโฮจิมินห์ คือ โครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และครอบคลุม
ท่าอากาศยานระหว่างประเทศในเมืองนี้ เป็นสนามบินที่มีขนาดใหญ่สุดของเวียดนาม รองรับนักเดินทางได้มากสุดถึงปีละ 17 ล้านคน และท่าเรือไซง่อน ยังมีโครงข่ายที่เชื่อมต่อกับท่าเรือทั่วทั้งเมือง และยังเป็นท่าเรือที่คึกคักสุดของประเทศ
นอกจากนี้ โฮจิมินห์ ซิตี้ ยังเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมถึง 11 แห่ง รวมพื้นที่มากกว่า 10,000 ไร่ และมากกว่าครึ่งของนิคมเหล่านี้ยังมีที่ดินสำหรับการให้เช่าอยู่
ข้อได้เปรียบอื่นๆ รวมถึง การที่นครโฮจิมินห์มีทรัพยากรบุคคลอยู่เป็นจำนวนมาก ครอบคลุมเกือบทุกด้านที่นักลงทุนต้องการ ไล่ตั้งแต่แรงงานทักษะ ไปจนถึง นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญที่มีคุณภาพ จากการเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย และวิทยาลัยมากกว่า 75 แห่ง มีศูนย์วิจัย และกลุ่มคลังสมองอันหลากหลาย ที่ทำให้เกิดเครือข่ายเชื่อมต่อระหว่างการวิจัย พัฒนา และการผลิต ซึ่งช่วยจัดหาทรัพยากรมนุษย์ เทคโนโลยี และบริการคุณภาพสูงให้กับบริษัทท้องถิ่น
ฮานอย
ในฐานะเมืองหลวงของเวียดนาม กรุงฮานอย มีทั้งศักยภาพ และความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ โดยจีดีพีเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ 2.36 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8.5% จากปี 2559
กรุงฮานอย ยังติดอยู่ในอันกับ 4 ของเมือง และจังหวัดในเวียดนาม ที่มีเอฟดีไอไหลเข้ามามากสุด ด้วยยอดโครงการเอฟดีไอมากกว่า 4,489 โครงการ และทุนจดทะเบียนที่ 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์
ปัจจัยที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ของเมืองหลวงแห่งนี้มีอยู่หลายด้านด้วยกัน อย่างแรกคือ เป็นศูนย์กลางคมนาคมของเมือง และจังหวัดทางภาคเหนือของเวียดนาม เป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานนานาชาตินอยไบ ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ และมีเครือข่ายถนนอย่างครอบคลุม
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่วนบริหารท้องถิ่นของกรุงฮานอย ยังลงทุนอย่างหนัก เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง มีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่หลายโครงการ ในการขยายถนนภายในตัวเมือง ปรับปรุงสถานีรถไฟ สร้างสะพานลอย และอุโมงค์หลายแห่ง
นอกจากนี้ กรุงฮานอยยังได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากรัฐบาลเวียดนาม ในการจัดทำมาตรการดึงดูดการลงทุน อาทิ การกำหนดนโยบาย และกลไกพิเศษ เพื่อดึงดูดการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมไฮเทคฮัว ลัค เป็นแห่งแรกของประเทศ ซึ่งช่วยให้นักลงทุน และบริษัทต่างๆ ที่เข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ ได้รับอัตราภาษีพิเศษ และการสนับสนุนอื่นๆ
บั๊กนิญ
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จากที่เคยเป็นแหล่งเกษตรกรรมของประเทศ บั๊กนิญได้เปลี่ยนตัวเอง มาเป็นหนึ่งในศูนย์กลางอุตสาหกรรมสำคัญในพื้่นที่เศรษฐกิจหลักทางตอนเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งดึงดูดเอฟดีไอให้เข้ามาในเวียดนาม
เมื่อปีที่แล้ว บั๊กนิญมีมูลค่าจีดีพีโดยรวมอยู่ที่ 7,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับปี 2559
แม้ภาคอุตสาหกรรม และก่อสร้าง จะคิดเป็นสัดส่วน 74% ของจีดีพีจังหวัด แต่ภาคบริการก็กำลังขยายตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีสัดส่วนอยู่ที่ 22% ของจีดีพี
ในแง่ของเอฟดีไอนั้น บั๊กนิญมียอดรวมการเข้าลงทุนอยู่ที่ 1,135 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนทั้งหมดมากกว่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ มากเป็นอันดับ 6 ของประเทศ โดยมีบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่หลายราย อย่าง แคนอน จากญี่ปุ่น ซัมซุง ของเกาหลีใต้ โนเกีย จากฟินแลนด์ และเอบีบีของสวีเดน เข้ามาลงทุนในจังหวัดนี้
บั๊กนิญยังมีชื่อเสียงในฐานะจุดหมายการลงทุนที่มีคุณค่า เพราะนอกจากจะมีมาตรการจูงใจให้เข้าลงทุนแล้ว ยังมีแรงงานทักษะ และโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุม
บิ่ญเซือง
การที่อยู่ห่างจากนครโฮจิมินห์ซิตี้ ศูนย์กลางเศรษฐกิจของเวียดนาม เพียงแค่ขับรถชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ทำให้บิ่ญเซือง เป็นแหล่งลงทุนที่โดดเด่นอีกแห่งหนึ่งของเวียดนาม
ที่ผ่านมา บิ่ญเซืองสามารถดึงดูดโครงการขนาดใหญ่เข้ามาลงทุนได้ เพราะบริษัทต่างๆ ต้องการที่จะขยายฐานการผลิตของตัวเอง ในฐานะส่วนหนึ่งของซัพพลายเชน ที่อยู่ใกล้กับนครโฮจิมินห์
อย่างไรก็ดี ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่วนบริหารท้องถิ่นบิ่ญเซือง ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า จังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเวียดนามแห่งนี้เป็นได้มากกว่าส่วนหนึ่งของวงจรเศรษฐกิจนครโฮจิมินห์
ส่วนบริหารท้องถิ่นจ.บิ่ญเซืองได้นำเสนอกระบวนการขดทะเบียนธุรกิจ และการลงทุนที่มีความโปร่งใส และมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยนักลงทุนประหยัดเงิน และเวลา ในการตั้งฐานการผลิต
ทั้งยังเป็นเจ้าภาพจัดการเจรจากับนักลงทุนต่างประเทศอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจำกัดปัญหาที่อาจเกิดขึ้น นอกเหนือจากการลงทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของทรัพยากรบุคคล ปรับเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก มาเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
การพัฒนาข้างต้น ส่งผลให้บิ่ญเซืองดึงดูดเงินทุนเอฟดีไอได้มากกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ มากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ นักลงทุนต่างชาติรายใหญ่สุดจังหวัดนี้ คือญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้
เมื่อปีที่แล้ว เศรษฐกิจบิ่ญเซืองขยายตัวที่ 9.15% และมีจีดีพีต่อหัวประชากรอยู่ที่ราว 5,286 ดอลลาร์ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ 2,385 ดอลลาร์อย่างมาก
ดานัง
เมื่อปี 2560 ดานังได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเอเปค ทำให้สื่อทั่วโลกพุ่งความสนใจมาที่เมืองชายทะเลเล็กๆ ทางตอนกลางของเวียดนามแห่งนี้ หลังจากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดานังสร้างแบรนด์ตัวเองขึ้นมา ในฐานะเมืองแห่งสะพาน และงานเทศกาล
ดานังได้รับการยอมรับ ไม่ใช่แค่จากรัฐบาลเวียดนามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงองค์กรนานาชาติต่างๆ เมืองนี้ ยังได้รับการจัดให้เป็น 1 ใน 10 จุดหมายปลายทางที่กำลังมาแรงของทริปแอดไวเซอร์ เมื่อปี 2558
การอยู่ในพื้นที่ที่ถือว่าเป็นใจกลางประเทศอย่างมากนั้น ทำให้ดานังกลายเป็นจุดสำคัญทางกลยุทธ์อย่างมาก เพราะอยู่ห่างจากเมืองที่เป็นตลาดใหญ่ของประเทศ อย่าง กรุงฮานอย และนครโฮจิมินห์ ด้วยการเดินทางเพียงชั่วโมงเดียว และยังอยู่ใกล้กับจีน และอินเดีย ด้วยการเดินทางด้วยเครื่องบินเพียงชั่วโมงเดียวเช่นกัน
นอกจากนี้ ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ที่พาดผ่านดานัง ยังเชื่อมโยงเมืองเข้ากับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ อย่าง ลาว กัมพูชา ไทย และเมียนมา ส่วนท่าเรือดานัง ก็ยังทำหน้าที่เป็นเหมือนทางออกสู่ทะเลจีนใต้ ของระเบียงเศรษฐกิจ อำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้า และผู้คน ผ่านพื้นที่นี้
จุดเด่นอีกประการหนึ่ง คือ การมีโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุม และได้มาตรฐานสากล โดยดานังมีนิคมอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 6 แห่ง และมีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีก 3 แห่ง
ที่มา: toughnickel.com
