ศาลสูงรัฐโคโลราโด ตัดสิน “โดนัลด์ ทรัมป์” หมดสิทธิสมัครเลือกตั้งชิงประธานาธิบดีปี 2567 ระบุ มีส่วนร่วมในเหตุจลาจลบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐ ปี 2564
ศาลสูงสุดรัฐโคโลราโด ระบุว่า นายทรัมป์มีความผิดฐานเป็นกบฏต่อรัฐธรรมนูญ จากการมีส่วนร่วมต่อการลุกฮือบุกอาคารรัฐสภาของเหล่าผู้สนับสนุน ในช่วงที่สมาชิกรัฐสภากำลังประชุมรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของโจ ไบเดน เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2564 ทำให้ที่ประชุมสภาคองเกรส ต้องหยุดชะงัก และต้องปิดอาคารรัฐสภาชั่วคราว
คำตัดสินตามมติ 4 ต่อ 3 เสียงดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกที่แคนดิเดตประธานาธิบดีสหรัฐถูกตัดสิทธิ์ลงสมัครตามบทแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราที่ 14 วรรคที่ 3 ที่ระบุว่า ผู้ที่เคย “ก่อกบฏหรือก่อการจลาจล” ไม่สามารถดำรงตำแหน่งได้
แม้คำตัดสินจะส่งผลต่อการเลือกตั้งรอบไพรมารีของพรรครีพับลิกันในรัฐโคโลราโดเท่านั้น ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 5 มีนาคม 2567 แต่ก็อาจส่งผลต่อโอกาสในการเลือกตั้งทั่วไปของรัฐโคโลราโดในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 อีกด้วย ปัจจุบันเป็นที่คาดกันว่าชาวโคโลราโดส่วนใหญ่ เป็นฐานเสียงให้กับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไม่ว่าสถานะของนายทรัมป์จะเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ นายทรัมป์วางแผนที่จะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดสหรัฐ ส่วนศาลรัฐโคโลราโดจะคงคำตัดสินไว้อย่างน้อยถึงวันที่ 4 มกราคม 2567 เพื่อให้มีเวลายื่นอุทธรณ์ ด้านศาลสูงสุดสหรัฐ ซึ่งมีผู้พิพากษา 3 คน ที่มาจากการแต่งตั้งของนายทรัมป์ จะตัดสินว่า เขาสามารถลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกครั้งได้หรือไม่
คดีนี้ถือเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับความพยายามในการตัดทรัมป์ออกจากการลงคะแนนเลือกตั้งในรัฐ โดยอาศัยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตราที่ 14 วรรคที่ 3 ที่บัญญัติขึ้นหลังสงครามกลางเมือง โดยศาลรัฐโคโลราโดพิจารณาว่า ทรัมป์ไม่มีสิทธิ์ลงสมัครเนื่องจากบทบาทของเขาในเหตุการณ์ความรุนแรงที่อาคารรัฐสภาขณะที่สมาชิกสภานิติบัญญัติกำลังประชุมกันเพื่อรับรองผลการเลือกตั้งปี 2563 โดยศาลยอมรับว่ากรณีนี้เป็น “เรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน”
ก่อนหน้านี้ ศาลล่างเคยตัดสินว่านายทรัมป์มีส่วนในการก่อกบฏโดยยุยงปลุกปั่นกลุ่มผู้สนับสนุนให้ก่อความรุนแรง แต่ไม่เข้าข่ายการถูกตัดสิทธิ์ตามการแก้ไขเพิ่มเติมฯ เนื่องจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ “ไม่ถือเป็นเจ้าหน้าที่สหรัฐ”
คดีนี้ได้รับการยื่นฟ้องโดยกลุ่มผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งชาวโคโลราโด และกลุ่มองค์กรเพื่อความรับผิดชอบและจริยธรรมของพลเมืองในวอชิงตัน (CREW) คนกลุ่มนี้โต้แย้งว่า การกระทำของนายทรัมป์ในวันที่ 6 มกราคม 2564 เป็นความพยายามที่จะขัดขวางการโอนถ่ายอำนาจประธานาธิบดี ในขณะที่ศาลในรัฐอื่น ๆ ปฏิเสธคดีความในลักษณะเดียวกันในช่วงก่อนหน้านี้ คำตัดสินของศาลโคโลราโดนี้ อาจส่งผลต่อความพยายามในการตัดสิทธิ์ทรัมป์ในอนาคต
ด้านโฆษกทีมหาเสียงของทรัมป์ประณามคำตัดสินดังกล่าวว่า “ไม่เป็นประชาธิปไตย” และ “มีข้อบกพร่องโดยสิ้นเชิง” และจะยื่นเรื่องอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดสหรัฐโดยเร็วที่สุด
ขณะเดียวกัน ทนายความของนายทรัมป์โต้แย้งว่า สุนทรพจน์ของทรัมป์ในวันเกิดเหตุ ได้รับการคุ้มครองตามหลักสิทธิเสรีภาพในการพูด การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 14 ไม่สามารถใช้กับประธานาธิบดีสหรัฐได้ และสภาคองเกรสต้องเป็นผู้ลงคะแนนเสียงถึงจะตัดสิทธิ์แคนดิเดตได้
ด้านนายคาร์ลอส ซามูร์ หนึ่งในสามผู้พิพากษาศาลรัฐโคโลราโดที่ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสิน ออกมาโต้แย้งว่า แม้จะเชื่อมั่นว่าผู้สมัครคนหนึ่งได้กระทำเรื่องน่าสยดสยองเมื่อในอดีต เช่น มีส่วนร่วมในการก่อกบฏ ถึงอย่างนั้นก็ต้องมีวิธีพิจารณาความที่ถูกต้องเสียก่อนที่จะสามารถประกาศได้ว่า บุคคลนั้นถูกตัดสิทธิ์จากการดำรงตำแหน่ง
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- ‘ทรัมป์’ มอบตัว-ถ่ายรูปทำประวัติอาชญากรรม คดีพยายามล้มผลเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 63
- ‘ทรัมป์’ เจออีก 13 กระทง ถูกฟ้องข้อหา กรรโชก-ทำผิดเลือกตั้งปี 63
- ‘ทรัมป์’ ขึ้นศาล ปฏิเสธข้อหา พยายามล้มล้างผล ‘เลือกตั้งประธานาธิบดี’ ปี 63