คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ มีมติเป็นเอกฉันท์ ในการประชุมเมื่อวานนี้ (26 ก.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 5.25-5.50% สูงสุดในรอบ 22 ปี
การประกาศขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าว เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และเป็นการขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 11 นับตั้งแต่ที่ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มวัฏจักรขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม 2565 ส่งผลให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยมาแล้ว รวม 5.25%
ขณะที่ นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด แถลงหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า การตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงินในอนาคตนั้น เฟดจะตัดสินใจในการประชุมเป็นรายครั้ง รวมทั้งพิจารณาถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในเวลานั้น โดยเฟดจะจับตาข้อมูลเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด แต่ยังไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดการลดดอกเบี้ยในปีนี้
นายพาวเวล ยังไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะขึ้นดอกเบี้ยอีกหากจำเป็น
“มีความเป็นไปได้ว่า เราอาจจะขึ้นดอกเบี้ยอีก ในการประชุมเดือนกันยายน หากข้อมูลเศรษฐกิจในช่วงเวลาดังกล่าว สนับสนุนให้เราดำเนินการเช่นนั้น และในขณะเดียวกัน ก็มีความเป็นไปได้ ที่เราอาจเลือกคงดอกเบี้ยในการประชุมเดือนดังกล่าว หากการดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับจุดยืนด้านนโยบาย”
ประธานเฟด ยังแสดงความหวังว่า เฟดจะสามารถบรรลุเป้าหมาย ที่จะเห็นเศรษฐกิจของสหรัฐชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งหมายถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เงินเฟ้อชะลอตัวลง อัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ และเศรษฐกิจไม่อยู่ในภาวะถดถอย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- นักลงทุนเทน้ำหนัก 96% คาดเฟด ‘ขึ้นดอกเบี้ย’ เดือนนี้ หลังตัวเลขจ้างงานแกร่ง
- นักเศรษฐศาสตร์ชี้ ‘พาวเวล’ ไม่หยุดขึ้นดอกเบี้ย จนกว่า ‘เศรษฐกิจสหรัฐ’ ถดถอย
- ‘ซิตี้กรุ๊ป’ ฟันธง ปีนี้ ‘เฟด’ ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% อีก 3 ครั้ง เหตุเงินเฟ้อสูง-จ้างงานแกร่ง