“ยูนิเซฟ” เปิดรายงาน “สภาวะเด็กโลก 2566” ระบุ ไวรัสโควิด-19 ระบาดใหญ่ ทำให้การฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ ของเด็กลดลง พบ เด็กเกือบ 67 ล้านคน พลาดการฉีดวัคซีนที่จำเป็นสำหรับปกป้องชีวิตอย่างน้อย 1 ชนิด
รายงานของ องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) ระบุว่า การสร้างความเชื่อมั่น ต่อการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ ให้กับเด็ก ที่ดำเนินมานานกว่า 10 ปี ลดลงไปอย่างมาก ทำให้เกิดแนวโน้มที่น่าเป็นห่วง เกี่ยวกับความลังเลที่จะให้เด็กฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางความไว้วางใจในรัฐบาลที่ลดลง การแบ่งขั้วทางการเมือง และการได้รับข้อมูลผิด ๆ
นางแคทเธอรีน รัสเซลล์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการของยูนิเซฟ แถลงว่า โลกจะปล่อยให้ความมั่นใจในการฉีดวัคซีนพื้นฐาน กลายเป็นเหยื่ออีกรายของโรคระบาดไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว การเสียชีวิตระลอกต่อไป อาจเป็นเด็กที่ป่วยเป็นโรคหัด โรคคอตีบ หรือโรคอื่น ๆ ที่สามารถป้องกันได้
ทั้งการเปลี่ยนแปลงในมุมมองการรับรู้เกี่ยวกับวัคซีนพื้นฐานของเด็ก ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเกิดขึ้นหลังจากที่อัตราการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในเด็กลดลงอย่างมาก ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งนับว่ามากที่สุดในยุคปัจจุบัน
โดยมีเด็ก 67 ล้านคนไม่ได้รับการฉีดควัดซีน 1 ชนิด หรือหลายชนิดที่มีความสำคัญในการช่วยชีวิตในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และความพยายามที่จะเร่งฉีดให้ได้มากขึ้นก็หยุดชะงักลง แม้ว่ามีการแพร่ระบาดของโรคที่สามารถป้องกันได้เพิ่มมากขึ้น
รายงานสภาวะเด็กโลก ซึ่งเป็นรายงานประจำปีที่สำคัญที่สุดของของยูนิเซฟ บอกด้วยว่า ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับวัคซีนนั้นแตกต่างกันไปทั่วโลก โดยหลายประเทศ อย่าง อินเดีย จีน และเม็กซิโก ไม่ได้มีอัตราการฉีดวัคซีนของเด็กลดลงอย่างมีนัยสำคัฐ ตรงข้ามกับประเทศอย่าง ปาปัวนิวกินี และเกาหลีใต้ ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนในเด็กลดลงร่วม 44% และลดลงราว 1 ใน 3 ในกานา เซเนกัล และญี่ปุ่น
อย่างไรก็ดี โดยภาพรวมแล้ว การสนับสนุนฉีดวัคซีนในเด็กยังค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยราวครึ่งหนึ่งของ 55 ประเทศที่ยูนิเซฟสำรวจนั้น มากกว่า 80% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ตระหนักดีว่า วัคซีนเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเด็ก ๆ
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- วัคซีนไม่พอ! อุปสรรคใหญ่ โครงการ ‘โคแวกซ์’ อนามัยโลก-ยูนิเซฟ ร้องชาติร่ำรวยช่วยบริจาค
- บีบีซี ยก ‘มิลลิ’ ติดอันดับ ‘ผู้หญิงทรงอิทธิพล-สร้างเเรงบันดาลใจ’ แห่งปี 65
- คนแรกของประเทศ! ‘เกาหลีเหนือ’ ตั้งผู้หญิง เป็น ‘รัฐมนตรีต่างประเทศ’
